ล้วงตับหนังไทย 'ปรัชญา ปิ่นแก้ว'


หนุ่มไทยผิวดำคมสันกล้ามโต ส่งหมัดเท้าเข่าศอกเข้าห้ำหั่นกับฝรั่งตัวเป้ง จนต่างชาติหลายคนคิดขยาดกลัวไม่กล้าหือกับเราชั่วระยะหนึ่ง แน่นอน ปรัชญา ปิ่นแก้ว ได้เครดิตไปเต็มๆ กับการส่งศิลปะแม่ไม้มวยไทยไปขึ้นหิ้ง Box office แต่ทว่าผงาดอยู่ไม่นาน วงการหนังไทยก็เข้าอีหรอบเดิม ชนโรงและร่วงอย่างรวดเร็ว

บางคนปฏิเสธการดูหนังไทยอย่างสิ้นเชิง บอกเทียบการเสียค่าบัตรร้อยนึงไปดู CG อลังการดีกว่า เราทิ้งห่างช่วงระเบิดภูเขา เผากระท่อมไปนานพอตัว แล้วอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม

ในขณะที่ “วอนโดนเตะ” (The Kick) หนังเรื่องใหม่ของเขากำลังจะเข้าฉาย โดยจุดสนใจอยู่ที่การร่วมทุนระหว่างไทย-เกาหลี “ปรัชญา ปิ่นแก้ว” มีความในใจบางอย่างซึ่งเราคิดว่าน่ารับฟังยิ่ง และบางที มันอาจจะทำให้เราเข้าใจในชะตากรรมความเป็นไปของหนังไทยได้กระจ่างขึ้น

ถามกันตรงๆ ทำไมหนังไทยไม่โต?

อุปสรรคที่ผมมองเกี่ยวกับการเติบโตของหนังไทยมีอยู่ 4ข้อ เรื่องเศรษฐกิจโลก เรื่องความวุ่นวายทางการเมือง เรื่องภัยพิบัติ เรื่องเทปผีซีดีเถื่อน เทปผีซีดีเถื่อนนี่ตัวหนัก ที่เห็นวางขายกันแถวนี้ไม่เห็นไปจับ จับก็จับไม่ได้ มันไม่ทำจริงจังกันเลย แล้วทำให้คนในอุตสาหกรรมหนังอยู่กันไม่ได้ คำว่า ผู้กำกับไม่สามารถเป็นอาชีพได้ อันนี้มันน่ากลัวมาก เห็นเด็กเรียนนิเทศฯ กันเยอะเลยตอนนี้ คิดว่าจะมาทำหนังกัน แต่รัฐบาลก็เอาไม่อยู่ เหนื่อยมาก ยังดีที่ตอนนี้เด็กรุ่นใหม่มาทำหนังสั้นหรือทำหนังอิสระกันมากขึ้น เพื่อต่อยอดโอกาสในการเข้าไปทำหนังกระแสหลัก

ตอนนี้หนังอิสระมันมีเส้นทางเปิดมากขึ้น มีช่องทางมากขึ้น แต่ก่อนทำมาเถอะไม่มีทางได้ฉาย เดี๋ยวนี้โรงหนังใหญ่มันเล่นด้วย คิดว่าไม่แน่อาจมีหนังนอกกระแสที่ “โดน” หรือ “แจ็คพอต” มาสักเรื่องนึง เป็นที่ฮือฮา ประสบความสำเร็จทั้งรางวัลและชื่อเสียง แล้วทำให้เกิดครรลองใหม่ว่า การทำหนังเรื่องนึง ไม่จำเป็นต้องเข้าสตูดิโออย่างเดียว มันเป็นอีกระบบนึงก็ได้

แต่อุปสรรคอีกอย่าง คือคนดูหนัง คล้ายๆ กับที่เขาบอกเรื่องรสนิยม แต่ผมใช้คำว่าความนิยมในการรักการดูหนังมันน้อยไป อย่างเช่น ถ้าเทียบสัดส่วนของประชากรเกาหลี ประชาชนของเรากับเกาหลีใต้พอๆ กัน แต่คนเกาหลีใต้ นิยมการดูหนัง รักการดูหนังมากกว่าเรา ผมเคยเทียบตัวเลขนะ ไม่ต่ำกว่า10เท่า ดูจากอะไร ผมดูจากหนังทำเงินอันดับหนึ่งของเขา ได้ตั๋วกี่ใบ หนังทำเงินอันดับหนึ่งของเราได้ตั๋วกี่ใบ ต่างกันเกือบ10เท่า มันก็เข้าหลักดีมานด์ซัพพลาย
คนเกาหลีเขารักการดูหนังอ่ะ มันก็เกิดการทำหนังมากขึ้น เกิดการแข่งขันมากขึ้น เกิดการเรียกร้องหาสิ่งที่ดี หาหนังที่ดี หาหนังที่สนุกหาหนังที่อะไรตอบสนองมากขึ้น บ้านเรามันดูหนังกันแค่นี้ หยิบมือนึง 60ล้านนี่ได้สักเท่าไหร่ 10ล้านถึงมั้ย วัดจากคนเข้าโรงหนังนะ คน 60ล้าน เข้าโรงหนังสัก1ล้าน อยู่ประมานนี้

วัฒนธรรมการดูหนังบ้านเราอาจจะยังไม่ดีพอ เราถูกสอนให้ดูหนังที่บันเทิง ดูหนังไร้สาระตั้งแต่เด็ก เดี๋ยวนี้ เราบอกว่า สื่อที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดคือภาพยนตร์ แล้วทำไมคุณไม่สอนให้รักการดูหนังล่ะ ไม่ใช่ว่าหนังมันไร้สาระไปหมด หนังสือก็ไม่ใช่ว่ามีแต่สาระนะ มีทั้งบันเทิงมีทั้งสาระ หนังก็มีทั้งบันเทิงมีทั้งสาระ สาระที่ได้จากหนัง

หนังมันมีอิทธิพลเยอะ แล้วบางประเทศก็เอาหนังมาเป็นอาวุธ บ้านเราไม่มองเลย มองเป็นสื่อบันเทิงไร้สาระ ทำไมคุณไม่พลิกกลับเอามาเป็นเครื่องมือ เอามาเป็นเครื่องมือรัฐบาลได้เลย ทำให้คนไทยเรามีระเบียบวินัยมากขึ้น ทำให้คนไทยรักกันมากขึ้น ทำให้เราฉลาดในบางเรื่องมากขึ้น อย่างเกาหลี เขาก็เอาหนังบ่ม เอาหนังอบรมคน แล้วพอหนังเกาหลีมันโต อุตสาหกรรมอื่นๆ ก็พลอยได้รับอานิสงส์ไปด้วย เช่น รถยนตร์ เครื่องใช้ไม้สอย และอื่นๆ

น่าเสียดาย เราเคยแนะนำให้เด็กอ่านหนังสือจนกระทั่งทุกวันนี้ไม่ได้ทั้งสองอย่างเลย หนังก็ไม่ดู หนังสือก็ไม่อ่านกัน อย่างเรื่องของการใช้หนังเป็นเครื่องมือกล่อมเกลาสังคม มันควรจะทำประมาณไหน

อย่างพวกเราเติบโตมาพร้อมกับวัฒนธรรมของไทย ความเชื่อต่างๆ นานาที่ถูกใส่หัวเรามาเนี่ย มันใหญ่มาก ความเชื่อที่มันไม่ใช่เหตุผลนะ มันเต็มไปหมดเลย ผมก็จะจมไปกับมัน แต่ทุกวันนี้ผมกระจ่างมากขึ้นกับการดูหนัง ผมเป็นคนไม่อ่านหนังสือ เพราะไม่มีเวลาอ่าน แต่ดูหนังเยอะ

หนังทำให้ผมคิดแบบเหตุผล พวกที่แบบว่าไปเชื่อสิ่งที่มันไม่มีเหตุผลนะ ผมมองเป็นสิ่งที่มันไร้สาระ มันไม่ใช่ บ้านเราทำไมไม่ได้ถูกสอนให้สู้ กลับกลายว่าต้องไปไหว้แล้วก็ภาวนาขอสิ่งปาฏิหาริย์มาช่วยเหลือ แต่ผมถูกสอนให้สู้จากการดูหนัง เรื่องปรัชญาเกี่ยวกับการใช้ชีวิตน่ะ หลายคนใช้ความรักไม่เป็น ทำไมรักกันอยู่ดีๆ แล้วพอไม่ได้รักกัน ทำไมต้องฆ่ากัน แล้วลงหนังสือพิมพ์เต็มไปหมดเลย แต่หนังมันสอนให้ผมเห็นว่าความรักมันมีหลายแบบ ความรักเป็นสิ่งสวยงาม ทำไมใช้แล้วมันไม่สวยงามล่ะ ผมเป็นคนที่ได้ความรักที่สวยงามจากการดูหนัง แล้วก็นำมาใช้ในชีวิตจริง

สิ่งที่ได้จากหนังมันเยอะมาก โอเค หนังมันคือความบันเทิงก็จริง เอาความบันเทิงมันก็ต้องได้บันเทิงสิ เหมือนสวนสนุกมันจะมีทำไมล่ะ หนังไม่ต้องมีสาระก็ได้ แต่หนังมีสาระก็มี มีเยอะด้วย อยู่ที่ว่าเราไปเก็บมันมาจากไหน หรืออย่างเราไปดูหนังเรื่อง war of the world หนังมนุษย์ต่างดาวแท้ๆ แต่ผมไปเห็นเกร็ดที่มันซ่อนอยู่ในหนังนิดนึง คือในเรื่องนี้พ่อที่แย่ต้องมาดูลูกในสถานการณ์เลวร้ายที่สุดในโลก เขากำลังจะทิ้งลูกสาวอยู่ตามลำพังเพื่อจะไปเอาลูกชายกลับมา จำฉากนั้นได้ใช่มั้ย เขาบอกว่าลูกอยู่รอตรงนี้ก่อนนะ อย่าไปคุยกับใคร อย่ายุ่งกับใครเดี๋ยวพ่อจะไปตามลูกชายกลับมา พอพ่อจะวิ่งปุ๊บ ลูกตะโดนด่าพ่อ พ่อทำอย่างนี้ได้ไง พ่อทิ้งอย่างนี้ให้หนูอยู่ตามลำพังได้ไง พ่อกำลังทำผิด เนี่ย เราก็อึ้งเลย เด็กขนาดนี้คิดอย่างนี้ได้ เด็กฝรั่งมันรู้จักสิทธิของตัวเอง มันทวงสิทธิ์จากพ่อ แต่เด็กไทยไม่มีการเข้าใจอย่างนี้เลย นี่ไง แค่นี้ก็บอกแล้ว เป็นตัวบอกว่าสังคมเราหรือระบบการดูแล หรือการอยู่ร่วมกันของสังคมเรามันเปราะบางมาก พอน้ำท่วมทีการจัดการอะไรมันเละหมด แล้วเรื่องระเบียบวินัยมันเอากันไม่อยู่
ภาพตัวอย่างจากหนังเรื่อง วอนโดนเตะ
ที่พูดมาทั้งหมด เหมือนกับจะบอกว่า เราควรมาปรับจูนโลกทัศน์การมองหนังด้วยสายตาแบบใหม่?

ผมเคยคุยกับรัฐบาล คุยกับทางคณะกรรมการภาพยนตร์แห่งชาติ สิ่งหนึ่งที่ต้องทำเลยคือ ทำให้คนรักการดูหนัง คุณรณรงค์ให้คนไทยรักการดูหนังได้มั้ย อย่างเช่นว่าคุณอาจจะมีทีวีช่องนึงเลยเป็นmtv ไม่ใช่ musicนะ แต่เป็น movie ว่าแต่เรื่องหนัง คุยแต่เรื่องหนัง เป็นฟรีทีวีเลย ส่งให้ถึงทุกอาคารบ้านช่อง ให้ทุกคนดูหนังกันเป็น ดูหนังเป็นแล้วก็รู้จักหาอะไรจากหนังหรือว่าได้ประโยชน์อะไรจากหนัง แล้วก็มีการถก มันมีประเด็นให้คุยทุกเรื่องนั่นแหละ เพราะหนังมันเยอะ มีหลากหลาย แล้วเกิดถ้าคนเรามันรักการดูหนังมากขึ้น อุตสาหกรรมมันก็จะโต คนทำหนังก็จะมากขึ้น แล้วสิ่งที่จะพูดมันมีรอบด้าน มิติที่สังคมเรายังขาดออกไป อย่างทุกวันนี้ที่เราเห็นการเมืองวุ่นวาย ผมไม่มีความคิดเลยว่าเวลาการเมือง กลไกเวลามันโกงกัน คอรัปชั่นมันทำยังไง หน้าตามันเป็นไงเวลามันคอรัปชั่นกันเนี่ย เราเริ่มจากยังไงแล้วไปยังไง ทำไมไม่ทำหนังให้เห็น คนไทยจะได้ฉลาดขึ้นว่า เวลานักการเมืองโกงกิน มันโกงกินแบบนี้นะ แล้วในชีวิตจริงจะได้รู้ทันบ้าง ไม่ใช่ว่าทุกวันนี้เราก็มืดอยู่

มีหลายเรื่องที่สังคมเราพูดได้ แต่ก่อนอื่น เราต้องมองคำว่าหนังให้มีค่ามากกว่าคำว่าบันเทิง แต่จริงๆ ถามคนในข้างรัฐบาลนะ กระทรวงวัฒนธรรม หรือหน่วยงานอะไร ทุกคนต้องมายอมรับทั้งหมดเลย เพราะว่ามันพิสูจน์มาแล้วไงว่าสื่อทรงประสิทธิภาพมากที่สุดก็คือสื่อภาพยนตร์ จริงๆ มันก็มีแนวคิดแบบว่าถ้าประชาชนฉลาดขึ้นมันก็ปกครองยากขึ้นนะ ต้องทำอะไรอย่างนี้ น้ำเน่าไปวันๆ ฟรีทีวีก็ต้องเสิร์ฟละครน้ำเน่าอะไรพวกนี้ไป ไม่หรอก แต่รัฐบาลเขาเป็นคนบอกให้เราทำน้ำเน่านะ สังคมเราเป็นอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไร อย่างพวกเรื่องเล่า เราก็ไม่เคยเห็นมีตัวละครที่ฉลาดเลย หรือที่เป็นนักคิด มีแต่ที่โกงๆ อย่างศรีธนญชัย ของจีนนี่มีขงเบ้ง ญี่ปุ่นมีเยอะแยะ อย่างเณรน้อยเจ้าปัญญา เกาหลี มีทงอี คือเขามีตัวละครที่ฉลาดๆ เต็มไปหมด ของบ้านเราไม่มี ศรีธนญชัยฉลาดตรงไหนล่ะ เรื่องที่ฉลาดเป็นเรื่องแบบโกงๆ

จุดอ่อนของหนังไทยที่หนักที่สุดคือการคิดและเขียน เราไม่สามารถสร้างบุคลิกภาพที่น่าปรารถนาให้กับตัวละครตัวใดตัวหนึ่งแล้วเป็นแบบอย่างให้คนในสังคมได้เหมือนกับที่จีนกับญี่ปุ่นเป็น ที่จริงเราก็มี แต่อาจไม่ได้เป็นด้านนั้นไง อาจจะเป็นด้านกตัญญู ด้านช่วยเหลือผู้คน เราต้องค้นหาตัวเองให้เจอก่อน

ตัวอย่างภาพยนตร์ “วอนโดนเตะ”

No Comments Yet

Comments are closed

user's Blog!

49/1 ชั้น 4 อาคารบ้านเจ้าพระยา ถนนพระอาทิตย์ แขวงชนะสงคราม เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200

49/1 4th floor, Phra-A-Thit Road, Chanasongkhram,Phanakorn Bangkok 10200

Tel. 02 629 2211 #2256 #2226

Email : mars.magazine@gmail.com

FOLLOW US ON

SUBSCRIBE