เรื่อง : มาลินี นามละคร
“ผู้นำหญิงในอุดมคติ” ที่ผู้หญิงด้วยกันยอมรับ เป็นอย่างไร? ค้นหาคำตอบได้ในบทสัมภาษณ์ที่คุณสามารถอ่านได้ที่นี่เพียงที่เดียว!!
…………………………….
เข้าฉายไปร่วมหนึ่งสัปดาห์แล้ว สำหรับ The Lady หนังอัตชีวประวัติของ “อองซาน ซูจี” สตรีนักต่อสู้แห่งดินแดนชเวดากอง ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ในทางบวกของคนดูผู้ชมที่มีต่อหนัง ขณะที่นักแสดงนำผู้รับบทบาทซูจีก็เป็นที่โจษจัน ไม่เพียงในเมืองไทย หากแต่ในเทศกาลหนังนานาชาติหลายต่อหลายแห่ง ต่างก็ซูฮกยกนิ้วหัวแม่มือให้กับเธอ “มิเชล โหย่ว”
ในช่วงเวลาที่เธอเดินทางมาโปรโมตหนังในบ้านเรา ฟรีก็อปปี้ Taste ได้รับเกียรติพิเศษให้เข้าพบกับเธอผู้เป็นแสงสว่างของหนังเรื่องดังกล่าว มิเชล โหย่ว ปรากฎตัวต่อเราในแดดอ่อนๆ ยามบ่าย พร้อมกับความในใจที่ค่อยๆ ได้รับการเปิดเผย
รู้มาว่าคุณเป็นคนให้ต่อสายตรงถึงผู้กำกับเพื่อจะมารับบทนี้เองเลย อะไรทำให้คุณอยากเล่นบทนี้?
ฉันคิดว่าหนังที่เกี่ยวกับเรื่องราวของอองซานซูจีคือเหตุผลหลักเลย ฉันกำลังมองหาบทบาทแบบนั้นอยู่ แล้วเราก็ไม่ค่อยมีผู้หญิงเอเชียที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวแบบนี้เท่าไหร่ ชีวิตจริงที่เหมือนกับฮีโร่ อีกสิ่งหนึ่งที่ฉันได้ค้นพบคือเรื่องราวความรักที่น่าทึ่งมากๆ ระหว่างตัวอองซานและสามีของเธอ
เรารู้ว่า แค่คุณเปิดทีวีคุณก็จะเรียนรู้เรื่องราวการเมืองได้ง่ายๆ แต่นี่มันเป็นมนต์ขลังในรูปแบบภาพยนต์ที่จะทำให้คุณ อืม…มันเป็นแบบนี้เอง และมันก็เป็นชีวิตจริงของคนที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับความรัก เกี่ยวกับครอบครัว การตกเป็นเชลย มันเป็นโศกนาฎกรรมที่เกิดขึ้น ถ้าคุณจะเติมเต็มสิ่งเหล่านี้ได้ เมื่อคุณพบบทบาทที่คุณรู้สึกว่ามันน่าสนใจมาก แต่ในอีกทางนึงบทบาทที่แสดงในเรื่องราวที่เกิดขึ้นมันมีสารหรือข้อความที่ต้องการสื่อออกไปให้กับผู้ชมได้รับรู้
หมายถึงว่า ขณะที่หนังพูดเรื่องการเมือง แต่กระดูกสันหลังของหนัง คือเรื่องรัก?
มันเป็นเรื่องราวสองเรื่องราวที่ดำเนินไปด้วยกัน สามีอยู่ที่ลอนดอน ภรรยาอยู่ที่พม่า มันเป็นบทบาทที่ตรงข้ามกัน สามีดำเนินชีวิตแบบธรรมดาๆ และคาดหวังว่าภรรยาจะทำในสิ่งที่แม่บ้านทั่วไปทำ เช่น ไปจ่ายตลาด ดูแลลูก แต่ในฐานะภรรยาของอองซาน ซูจี ต่างออกไป เธอต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและประชาชนในวิถีทางที่ปราศจากความรุนแรง เธอพยายามที่จะทำให้ประชาชนเข้าใจในวิธีการที่ถูกต้องถึงแม้มันจะต้องใช้เวลาที่ยาวนานในขณะที่ตัวเธอเองก็ต้องถูกกักอยู่ในบ้านพักของเธอก็ตาม เราจะเห็นสิ่งที่ค่อนข้างตรงกันข้ามกันของการใช้ชีวิตในอังกฤษที่สุขสบาย กับการถูกบังคับกดขี่ข่มเหงในพม่า นั่นคือสิ่งที่เราสนใจ
และแน่นอน ตัวฉันเองก็เป็นผู้ชมคนหนึ่ง และคุณเองก็สามารถรับรู้ได้ถึงความสัมพันธ์ในฐานะแม่ ฐานะภรรยา และสิ่งที่คุณจะได้เห็นคือการเป็นพ่อที่จะต้องดูแลเลี้ยงดูลูกโดยไม่มีแม่อยู่เคียงข้าง คือในเรื่องมันมีรายละเอียดที่เราอยากจะสื่อออกไปให้กับผู้ชมได้เข้าใจ
คุณคิดยังไงกับการที่หนังเรื่องนี้โดนแบนในพม่า?
ฉันคิดว่าพวกเขาคงยังไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้นะ ฉันคิดว่าถ้าพวกเขาดูแล้วจะเข้าใจ ในหนังเรื่องนี้ เราไม่ได้พยายามที่จะทำให้อองซานซูจีเป็นที่ยอมรับ ฉันคิดว่าสิ่งที่เราทำคือเราพยายามที่จะบอกว่าตัวตนของเธอเป็นยังไง และทุกอย่างที่เราทำ เราเคารพนายพลเนวิน และนายพลตาน ฉ่วย ฉันคิดว่าลุค เบซง ทำและค้นหาวิถีทางภายใต้อำนาจกับเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้น คิดว่าพวกเขาคงเข้าใจว่าเราไม่สามารถเปลี่ยนประวัติศาสตร์ได้ เรายินดีและพยายามที่จะทำให้อิมเมจของทุกคนออกมาดูดี อะไรที่เราทำมันก็ต้องอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง เพราะมันเป็นเรื่องราวจริงที่เกี่ยวกับผู้ลี้ภัย สถานทูตต่างประเทศ สิทธิมนุษยนชน
คุณก็รู้ว่าบางเรื่องที่เราอ่านแต่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่ เพราะเหตุการณ์จริงมันแย่เกินกว่าที่จะออกมานำเสนอได้ ฉันคิดว่าพวกเขาคงจะเข้าใจ มันเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์อันเลวร้ายที่เกิดขึ้น ซึ่งมันก็เกิดขึ้นในหลายๆ ประเทศทั่วโลก ไม่มีใครที่จะออกมาพูดว่า เฮ้! เรามีภูมิหลังที่ขาวสะอาด เราไม่สามารถทำแบบนั้นได้ เราทุกคนมีจุดๆ นั้นในประเทศของพวกเรา มันเป็นเพียงสิ่งที่พวกเราทำผิดพลาด แต่มันก็เป็นแค่ความทรงจำในอดีต และนี่คือเวลาที่ดีที่สุดที่จะทำความเข้าใจในสิ่งผิดพลาดนั้นและไม่ทำให้มันเกิดขึ้นอีก
เราทำออกมาให้เห็นในรูปแบบง่ายๆ ให้ทุกคนชม และตัวอองซานซูจีเองก็ไม่ได้เป็นที่จดจำของดินแดนเอเชียแห่งนี้เพียงอย่างเดียว เธอเป็นที่รู้จักในโลกตะวันตกด้วย และฉันคิดว่ามันเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้โลกตะวันตกเข้าใจในสิ่งที่เรากำลังต่อสู้อยู่ที่นี่ อะไรคือความแตกต่างของวัฒนธรรม อะไรคือสิ่งที่เกิดขึ้นในประชาคมโลกของเรา และนั่นคือสิ่งที่เรานำมาไว้ในหนังให้คุณๆ ได้ชมกันในเวลา 2 ชั่วโมงกว่าๆ คุณจะเข้าใจได้ทันทีโดยไม่ต้องไปนั่งอ่านหนังสือแบบห้าเล่มอะไรแบบนั้น
ฉันคิดว่าเราต้องยอมรับอดีต เผชิญหน้ากับมัน และเดินหน้าต่อไป ฉันคิดว่ามันเป็นเวลาที่ดีที่อองซานจะขึ้นมาเป็นผู้นำคนใหม่ของพม่าและปฏิรูปอนาคต ไม่ว่าจะ 20 ปี หรือ 30 ปีข้างหน้า เวลาที่ผู้คนหันกลับมามองจะรับรู้ได้ว่ามันคือสิ่งที่ดีที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ของพวกเขา
คุณคิดเห็นอย่างไรกับสถานการณ์ในประเทศพม่า ณ ขณะนี้?
เมื่อสองสามเดือนก่อน พวกเขามีการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ไปในทางที่ดีขึ้น และอองซานเองก็ทำงานหนักมากๆ เพื่อประชาชนของเธอเท่าที่เธอจะทำได้ ฉันคิดว่ามันสำคัญมากๆ เลยที่นายกรัฐมนตรีจะไปพบปะพวกเขา พบปะอองซาน และประธานาธิบดี คุณรู้มั้ยมันสำคัญมากที่เราจะต้องเข้าถึงพวกเขา และก็ช่วยพวกเขา เราต้องทำในสิ่งที่แตกต่าง มันเป็นเวลาที่ดีที่เพื่อนบ้านอย่างเราควรจะทำ
โดยส่วนตัว คุณรู้สึกอะไรหรือไม่กับการรับบทอองซาน ซูจี เพราะก่อนหน้านี้ เห็นว่าคุณก็เคยโดนแบล็กลิสต์มาแล้ว?
ฉันจะโดนแบล็คลิสต์อีกมั้ยเนี่ย (หัวเราะ) ฉันอยากให้พวกเขาได้ดูหนัง และอยากให้พวกเขาเข้าใจว่าเราไม่ได้ทำหนังที่จะบอกว่ามาเลเซียต่อต้านพวกเขา ฉันรู้สึกว่าเรามีอิสระเสรีในการทำหนังเกี่ยวกับอะไรก็ตามที่เราค้นพบว่ามันน่าสนใจและเราก็อยากให้ผู้ชมได้รับรู้ในความน่าสนใจนี้ ฉันอยากให้พวกเขาได้ดูหนังเรื่องนี้ก่อนแล้วค่อยตัดสินใจว่าพวกเขาต้องการจะจัดการกับมันยังไง จะดีหรือไม่ดี
จากการรับบทบท The Lady มีอะไรบ้างที่น่าจดจำมากที่สุดสำหรับคุณ?
ฉันคิดว่าทั้งหมดเลยนะ แต่ที่เด่นๆ เลยน่าจะเป็นฉากที่อองซานซูดีกล่าวคำปราศัยต่อประชาชนชาวพม่า ฉันต้องใช้เวลาประมาณเกือบหกเดือนในการเรียนภาษาพม่า ซึ่งแน่นอนมันเป็นภาษาใหม่ที่จะต้องเรียนรู้ ฉันฝึกพูดแม้กระทั่งตอนฉันนอน (ยิ้ม) ไปไหนหรืออยู่ไหนก็หัดพูดเลยก็ว่าได้ คือฉันต้องทำมันให้ได้เพราะมันเป็นฉากการปราศรัยที่เสมือนเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นที่เธอจะพูดกับประชาชนของเธอ ที่ๆ เธอจะต้องพูดเกี่ยวกับการมีประชาธิปไตยในวิถีทางที่ไม่อาศัยความรุนแรง
อย่างที่เราทราบ พ่อของเธอบอกให้เธอทำหน้าที่ของเธอ ดูแลประเทศ ถึงแม้ว่าเธอจะแต่งงานกับคนต่างชาติ แต่หัวใจของเธอก็ยังอยู่เพื่อประเทศพม่าและประชาชนชาวพม่า และทั้งหมดนั้นมันไม่เคยเกิดขึ้นกับตัวฉันเลย ในฉากนี้มีตัวประกอบที่เป็นคนพม่าเกือบ 3-4 ร้อยคนอยู่ด้วย ไม่มีใครเข้าใจได้ดีไปกว่าพวกเขา อืม…มันเป็นฉากการปราศรัยที่ต้องใช้อารมณ์ ความเจ็บปวด ฉันจะไม่มีวันลืมเลย ถึงขนาดว่าฉันต้องถ่ายทำมันใหม่อีกรอบเพราะมีคุณลุงวัย 88 ปีท่านหนึ่งที่ร่วมอยู่ในฉากร้องไห้ออกมาในขณะที่ฉันพูดปราศรัย เค้าบอกว่าเขาเคยฟังคำปราศรัยของอองซานมาแล้ว และวันนี้เหมือนกับเค้าได้ยืนอยู่ข้างๆ อองซานและได้ฟังคำปราศรัยนั้นอีกรอบ ซึ่งคุณรู้มั้ย มันเป็นคำชมที่ดีที่สุดเท่าที่ฉันเคยได้รับเลย
คุณคิดว่า บทบาทอองซาน ซูจี ให้อะไรกับคุณบ้าง?
ฉันคิดว่ามันเป็นบทบาทที่มีความหมายมากๆ คุณได้เรียนรู้ว่าประชาธิปไตยที่แท้จริงคืออะไร อะไรคือปรัชญาและความมุ่งมั่น อะไรคือความรัก ฉันไม่ได้จะพูดถึงเรื่องราวที่เกี่ยวกับเรื่องการเมืองอย่างเดียว แต่มันเป็นความรักระหว่างหญิงชายที่เข้าใจกัน ไม่ใช่การบังคับฝืนใจที่จะเปลี่ยนความคิดอีกฝ่ายในเรื่องของการเมือง ในฉากที่สามีของอองซานมาพบเธอ แล้วเธอก็บอกกับสามีเธอว่า “ถ้าคุณอยากเป็นอิสระอีกครั้งหนึ่ง ฉันเข้าใจ เพราะฉันต้องอยู่ที่นี่ แล้วถ้าคุณอยู่ที่โน่น คุณจะต้องมีชีวิตใหม่นะ” ซึ่งตัวฉันเองคิดว่าถ้าเรารักใครสักเราต้องปล่อยให้เค้าเป็นอิสระ และนั่นเป็นวิธีที่อองซานเลือกที่จะบอกสามีของเธอ ไม่ใช่แค่เพียงคำพูดที่ว่า “ฉันรักเธอ ฉันก็รักเธอ ฉันรักเธอมากกว่า”
เธอถามสามีของเธอว่า “คุณต้องการฉันมั้ย อยากให้ฉันไปหามั้ย” แต่สามีของเธอไม่เคยขอร้องให้เธอทำเช่นนั้น ถึงแม้เขาจะรักเธอมากก็ตาม มันเป็นความรักที่เหลือเชื่อนะ เพราะว่าถ้าคุณคิดอย่างนั้นคือคุณรู้ที่จะรักยังไง ถ้าคุณรักใครสักคน อย่าพยามยามที่จะเปลี่ยนเขา ให้พยายามมองในสิ่งที่เขาเป็นและช่วยเหลือเขา เพราะนั่นคือชีวิตจริง มันคือศักยภาพของเขา ไม่ใช่ของคุณ คุณช่วยให้เขามีความสุข คุณก็จะยิ่งมีความสุข และสำหรับการเดินทางครั้งนี้ทำให้ฉันได้เรียนรู้ความรักในอีกรูปแบบหนึ่ง เป็นความรักชนิดที่สามารถทำให้โลกสวยงามได้เลย