เจ้าของเหรียญทองโอลิมปิกเหรียญแรกของเมืองไทยในฐานะนักชกมวยสากล
เจ้าของเข็มขัดแชมป์จากอีกหลายเวทีตลอดระยะเวลาหลายสิบปีแห่งการโลดแล่นอยู่บนสังเวียนผ้าใบ
และ…เจ้าของวาทกรรมขำๆ แต่พูดออกจากใจ อย่าง “ไม่ได้โม้” ที่ติดหูติดปากคนไทยทั่วประเทศ
“คำว่า ไม่ได้โม้ ก็มาจากการที่ผมวิเคราะห์นั่นแหละครับ อย่างเช่น “โอ๊ย นี่สบาย ผมต่อยมือเดียวก็ชนะ” หรือ “ไอ้นี่เก่งกับใครก็ได้ แต่เก่งกับผมไม่ได้หรอก ต่อยผมไม่ถูก” หรือ “บัวขาวนี่ จะมาบี้ผมเหรอ อย่าหมดแรงก่อนละกันนะ” คือผมก็วิเคราะห์เกมน่ะ ผมไม่ได้โม้ว่าผมไปตีกอล์ฟลงหลุม หรือไปเตะฟุตบอลได้ มันไม่ใช่ เรามีความรู้จริงเรื่องมวย เราเกิดมากับมวย ใครมวยซ้ายใครมวยขวา รู้หมด”
สมรักษ์ คำสิงห์ เกิดมาจากมวย และทุกวันนี้ก็ยังอยู่กินกับมวย เรานัดพบกับเขา ภายหลังที่เขาเอาชัยเหนือคู่ชกอย่าง “ผู้พัน” วันเผด็จ ผู้ครองฟ้า ด้วยการชนะน็อกแบบฝากแผลแตกให้คู่ต่อสู้เก็บไว้เป็นที่ระลึกต่างหมัด
ภายใต้ชายคาของค่ายมวยที่เขาบอกว่ากำลังก่อร่างสร้างตัวเพื่อให้มีมาตรฐาน เราเริ่มต้นสนทนากันด้วยเรื่องข่าวคราวที่เขาออกคำท้าเหยงๆ ต่อมวยดังที่ “โปรโมทกันว่า” เก่งที่สุดในโลก อย่าง “บัวขาว” แชมป์สังเวียนไทยไฟท์ พูดง่ายๆ ว่าเขาอยากประหมัดดูสักตั้งกับนักมวยดังชื่อนี้
สมรักษ์ คำสิงห์ คง “ไม่ได้โม้” คุยโวไปอย่างนั้นแน่นอน เพราะอย่าลืมว่า เขาเองก็คือ “สิงห์” ตัวหนึ่งแห่งเวทีผ้าใบที่ทำให้คู่ต่อสู้ยืนซดหมัดมาแล้วไม่น้อยกว่าพันคนตลอดชีวิตการชกมวยของเขา คำถามก็คือ แล้วเราจะไม่ลองนั่งลงฟัง “คำ” ของ “สิงห์” ตัวนี้สักหน่อยหรือ?
สมรักษ์-บัวขาว ‘คู่หยุดโลก’
ในขณะที่คนไทยเกือบทั้งประเทศกำลังตื่นเต้นกับข่าวคราวที่ว่า วงการมวยไทยไฟท์จะจัด “นัดประวัติศาสตร์” ระหว่างบัวขาวกับแมนนี่ ปาเกียว ซึ่งจนถึงตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าชัวร์หรือมั่วนิ่ม แต่ในสายตาของฮีโร่เหรียญทองโอลิมปิกคนแรกของเมืองไทย เขาหรี่ตาที่เล็กอยู่แล้ว ให้ยิ่งเล็กลงไปอีกจนเปลือกตาทั้งสองด้านแทบขนานเป็นเนื้อเดียว
“มันเป็นไปไม่ด๊ายยย…” ลากเสียงยาว แบบคนรู้ไต๋ “มันก็แค่การโปรโมทอย่างหนึ่ง ผมถึงรู้สึกว่าไปจ้างปาเกียวมา 90 ล้านบาท มาจ้างสมรักษ์ไม่ดีกว่าหรือ? จ้างสมรักษ์แค่ล้านเดียวก็ชกแล้ว แล้วคนก็อยากดู ถามว่า จ้างปาเกียวมาชกกับบัวขาวแล้วชกมวยสากลกัน 8 ยก บัวขาวจะชกได้เหรอ ใช้หมัดยังไม่เป็นเลย มันจะเป็นไปได้ไง ดังนั้น นี่เป็นแค่การโปรโมท โปรโมทไทยไฟท์ไปเรื่อยๆ เพราะไทยไฟท์เขาทำในเชิงธุรกิจ”
ยิ่งพูดยิ่งเหมือน “ของขึ้น” เราจึงดึงเขากลับลงมาสู่องศาอารมณ์ที่คิดว่าจะเย็นลง แต่การณ์กลับเป็นตรงกันข้าม เมื่อเราถามว่า ที่บอกอยากชกกับบัวขาว แค่มุกหรือว่าฮุกจริงๆ
“พูดจริ๊งงง…เพราะบัวขาวก็เป็นคนที่มีชื่อระดับโลก แล้วเขาก็เป็นมวยไทย ผมจึงเห็นว่ามันน่าจะเป็นการช่วยเผยแพร่มวยไทยดี และการเผยแพร่หรือแม้แต่อยากยกระดับมวยไทยจริงๆ มันต้องมีคู่หยุดโลก อ๊าาา…ใช่มั้ยล่ะ คู่หยุดโลก ก็อย่างเช่น สมรักษ์เจอกับบัวขาว คนอยากดูแน่นอน คือคุณไม่ต้องไปจัดลุมพินี หรือว่าที่อื่น จัดที่อินดอร์สเตเดี้ยมหัวหมากเลย ผมเชื่อว่าเต็ม เมืองทองธานีก็เต็ม ที่ไหนก็เต็ม เพราะแฟนคลับของแต่ละคน เยอะมาก แล้วตอนนี้ เขาโปรโมทว่าบัวขาวเป็นมวยที่เก่งที่สุดในโลก เราก็มวยคนหนึ่ง เราดูแล้วมันก็ทะแม่งๆ อยู่”
“ผมรู้สึกว่ามันเป็นการหลอกลวงคนรุ่นใหม่ แฟนมวยรุ่นใหม่จะยกย่อง “บัวขาวๆๆ” แต่ถ้าคนเป็นมวยหรืออยู่ในวงการมวย เขาจะรู้หรือดูออก เขารู้ ว่าโอ๋ ไอ้นี่มวยขี้เปียก”
อดีตมวยดังที่ชกในชื่อ “พิมพ์อรัญเล็ก ศิษย์อรัญ” หัวเราะร่วน ราวกับถูกอกถูกใจอะไรนักหนา เขาพูดทีเล่นทีจริงว่า แชมป์ไทยไฟท์ก็แชมป์ไทยไฟท์เถอะ มาชกกับเขาแล้วแพ้ เสียของเลยล่ะ
“ขายไม่ออก จะซวยเลย ความจริงเปิดเผย” เขาว่า และหัวเราะ
“พูดเหมือนไม่ยอมนะ” เราแกล้งแซะต่อ ดูปฏิกิริยาของมวยรุ่นเก๋า
“ไม่หรอก ก็ยอมนั่นแหละ แล้วก็ดีใจที่รุ่นน้องเขาไปดังระดับโลก แต่ถามว่าคนอยากดูตรงไหน อยากพิสูจน์ตรงไหน แล้วอย่างเมืองนอก เขาก็มีคู่มวยหยุดโลกอยู่เรื่อยๆ มันทำรายได้มหาศาล ซึ่งมันก็เป็นการยกระดับ การปลุกกระแสวงการมวยจริงๆ แล้วคิดดูสิ สมรักษ์เจอบัวขาว ใครบ้างจะไม่อยากดู ใช่มั้ยล่ะ ทั้งเด็กเล็ก เด็กรุ่นใหม่ แฟนมวยรุ่นเก่า หรือแม้กระทั่งรัฐมนตรี ก็อยากดูหมดแหละ รวมไปจนถึงนักร้องดารา อยากดูคู่นี้ เราก็มาคิดว่า มาลองดูสักตั้งมั้ย”
ขณะที่ฝ่ายหนึ่งกระเหี้ยนกระหือรือที่จะได้ “ประมือประหมัด” กันสักตั้ง แต่อีกฝั่งล่ะ เขาจะว่ายังไง เพราะบัวขาวเองก็บอกกับสื่อไว้หลายครั้งว่า เขานับถือสมรักษ์เป็นพี่ และเขาก็ไม่อยากจะต่อยตีกับพี่ของตัวเอง
“อย่างเรานะ เหรียญทองโอลิมปิก เราก็กลัวแพ้เหมือนกัน” สมรักษ์เสียงอ่อยลงเล็กน้อย “เราก็แพ้ไม่ได้เหมือนกัน ถูกมั้ย แต่บางคนเขาก็บอกว่า ถ้าสมรักษ์ต่อยกับบัวขาว สมรักษ์โดนเตะน็อกแน่ๆ อันนี้ก็ส่วนหนึ่ง เพราะเวลาบัวขาวเขาต่อยฝรั่ง เขาดูแข็งแรง แต่อย่าลืมว่ามวยไทยมันเป็นศาสตร์และศิลป์การป้องกันตัว และสมรักษ์ คำสิงห์ มันก็ไม่ใช่ฝรั่งที่ต่อยมาแค่ 20 ครั้ง ขณะที่บัวขาวก็ต่อยแต่กับพวกฝรั่งที่ชกมาแค่คนละ 20 ครั้งหรือมากกว่านั้นนิดหน่อย ก็เหมือนมวยเพิ่งหัดใหม่น่ะ บัวขาวก็ใช้ความแข็งแรง เดินเตะ เดินเตะ ก็ชนะได้และกลายเป็นมวยแข็งแรงไป กลายเป็นมวยที่เก่งที่สุดในโลกไป เป็นการโปรโมทเขา ก็โอเคอ่ะนะ เป็นเรื่องที่ดีสำหรับการเผยแพร่ศิลปะมวยไทย”
“พูดอย่างนี้เหมือนไม่มั่นใจว่าจะล้มบัวขาวได้ หรือจะเป็นกระสอบทรายให้บัวขาวซ้อมเหมือนนักมวยฝรั่งหรือเปล่า” เราแกล้งเย้า ขณะที่สมรักษ์ดูกระตือรือร้นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเจอคำถามนี้ คล้ายกับเราจี้แทงถูกใจดำ
“ผมคงไม่ใช่แบบว่า จู่ๆ ก็เอาชื่อเสียงของตัวเองไปเสี่ยงมั้ง แต่ผมรู้ประวัติบัวขาวดี ผมรู้นักมวยหมดแหละ แล้วบัวขาวก็ชกมาตั้งแต่เด็กๆ ผมรู้หมดตัวไหนเก่งไม่เก่ง บัวขาวสมัยก่อนจะไปดังที่เควันน่ะ เขาแพ้จนเลิก ชกมวยไทยไม่ได้ เพราะบัวขาวมีความแข็งแกร่งอย่างเดียว แต่ไอคิวมวยน้อย เหลี่ยมมวยไม่มี ส่วนใหญ่ก็ใช้ความสามารถในการเดินเตะเอาชนะคู่ต่อสู้มาได้ อย่างสมัยชกที่เวทีลุมพินีหรือเวทีอื่นๆ เขาก็ชกแพ้จนต้องเลิก คือบัวขาวไม่ใช่มวยเก่ง แล้วไม่ใช่แค่ผมคนเดียวหรอกที่อยากชกกับบัวขาว แต่ไอ้เข้ม (เข้ม ศิษย์สองพี่น้อง) เขาก็ท้าเดิมพันกับบัวขาว แต่บัวขาวน่ะ พอดังแล้วเขาก็บอกว่าไม่ชกกับคนไทย ชกแต่กับฝรั่ง เพราะอะไร เพราะฝรั่งมันต่อยมาแค่ 20 ครั้งงงงง… (ลากเสียง) กระดูกมวยไม่มีน่ะ บัวขาวก็เดินเตะ เดินเตะ สนุกเลยสิ
“ถ้าในความรู้สึกผมนะ ถามว่ามันดีมั้ย บัวขาวเป็นมวยที่เก่งที่สุดในโลกอย่างที่เขาโปรโมท มันก็ดี เป็นการเผยแพร่ศิลปะมวยไทย แต่ลึกๆ แล้ว ผมรู้สึกว่ามันเป็นการหลอกลวงคนรุ่นใหม่ แฟนมวยรุ่นใหม่จะยกย่อง “บัวขาวๆๆ” แต่ถ้าคนเป็นมวยหรืออยู่ในวงการมวย เขาจะรู้หรือดูออก เขารู้ ว่าโอ๋ ไอ้นี่มวยขี้เปียก”
สมรักษ์เว้นวรรคหัวเราะอีกราวครึ่งนาที แล้วนิ่งเงียบไปสักพัก ก่อนหันมาคุยกับเราต่อ
“คือเรายอมรับว่าเราแก่แล้ว สภาพเป็นรองแน่นอน เป็นรองเยอะ แต่ไอคิวมวย ชั้นเชิงผมเหนือกว่าเยอะ และก่อนที่จะไล่บี้ผมให้ผมหมดแรงน่ะ คุณเข้ามา คุณจะโดนอะไรบ้าง คุณจะทนได้มั้ย อ๊าาาา… ไม่ใช่ว่าคุณไปก่อนผมนะ เพราะว่าผมหมัดเร็วกว่า คมกว่า เอาง่ายๆ ไม่รู้ว่าบัวขาวจะไล่เตะผมถูกหรือเปล่า เพราะว่าผมไม่ใช่ฝรั่งที่ต่อยมาแค่ 20 ครั้ง คือสมัย 18-19 ก่อนที่ผมจะไปต่อยโอลิมปิกนี่ ผมชกมวยไทยในชื่อ “พิมพ์อรัญเล็ก ศิษย์อรัญ” ผมก็ชกระดับคู่เอก ส่วนบัวขาวยังเป็นมวยชกก่อนเวลาคู่หนึ่ง คือชั้นมวยมันคนละเรื่องกันเลย แล้วผมชกมวยไทยมา 350 ครั้ง อายุ 18-19 ผมไม่มีคู่ชกแล้ว ไม่มีใครชกกับผมเลยในเมืองไทย แต่บัวขาว ก่อนจะไปเควันน่ะ แพ้ๆๆๆ แล้วก็เลิก ไปโผล่อีกทีได้เควัน นี่คือความจริงซึ่งคนรุ่นใหม่ไม่รู้ เมืองนอกไม่รู้”
ดูท่าว่าเขาจะยังมันปาก เราจึงไม่กักให้เขาสะดุดด้วยคำถามอื่นใด…
“สมัยผมชกมวยน่ะนะ ผมชกคู่เอกตลอด ค่าตัวแสนแปด แต่บัวขาวค่าตัวหมื่นกว่าบาท นี่คือความจริงที่คนรุ่นใหม่ไม่รู้ คนรุ่นใหม่ก็จะว่า โอ๊ย สมรักษ์ตาย สมรักษ์ตาย ถ้าต่อยกับบัวขาว สมรักษ์ตายแน่ๆ แต่ว่าย้ำนิดหนึ่งนะว่า สมรักษ์นี่มันไม่ใช่ฝรั่งต่อย 20 ครั้ง มวยไทยนี่ 350 ครั้ง ยังไม่รวมสากลอีกสิบกว่าปี ต่อยมาแล้วพันกว่าคน บัวขาวเตะผม ผมยกแขนบัง ทีนี้ไม่รู้ใครเจ็บ ผมไม่เจ็บหรอก ผมกลัวบัวขาวจะเจ็บแข้งมากกว่า อ๊าาาา… มันน่าลองมั้ยล่ะว่าผมจะเจ็บแขนหรือบัวขาวจะเจ็บแข้ง ถามว่าผมกลัวแพ้ไหม ผมไม่กลัวแพ้ เพราะมวยเป็นศิลปะป้องกันตัว เป็นศาสตร์และศิลป์ มันไม่ใช่แค่มีแรงแล้วจะชนะเสมอไป ผมไม่ได้ไปงัดข้อมือกับคุณ แต่มวยมันเป็นชั้นเชิง เป็นศิลปะ
“สมรักษ์ชกแต่ละครั้งนี่ไม่ได้เกณฑ์คนมาดูนะ คนเขาแห่ไปซื้อบัตรเข้าไปดูกันเอง แต่บัวขาวชกนี่ ดูฟรีครับ และต้องเกณฑ์คนเข้าไปดู สร้างภาพ ใช่มั้ยครับ”
“มาสิ” เอ่ยพูดเป็นคำท้าถึงบุคคลที่สามที่อยู่ใน “บทนินทา” อืมมม…“บทสนทนา”… “เราก็ไม่ใช่มวยเก่งอะไรหรอก ถ้าเก่งจริงมาดิ คนอยากดู จะไปหาต่อยแต่กับต่างชาติที่ต่อยมาแค่ 20 ครั้งแล้วก็เกณฑ์คนเข้าไปดูอยู่ทำไม สมรักษ์ชกแต่ละครั้งนี่ไม่ได้เกณฑ์คนมาดูนะ คนเขาแห่ไปซื้อบัตรเข้าไปดูกันเอง แต่บัวขาวชกนี่ ดูฟรีครับ และต้องเกณฑ์คนเข้าไปดู สร้างภาพ ใช่มั้ยครับ 555
“คือสุดท้ายแล้ว ผมมองว่าเราชกกันได้ และมันก็เป็นการปลุกกระแสวงการมวยด้วย มันต้องมีซูเปอร์สตาร์คู่หยุดโลก สมรักษ์-บัวขาว ขายบัตรได้แน่นอน รับรอง เต็ม ขายได้แน่นอน จัดที่อินดอร์เสตเดี้ยมหรือเมืองทองฯ เท่านั้น อย่าจัดที่ลุมพินี ไม่งั้นวิกแตกแน่ๆ แล้วทีวีจะแย่งกันถ่ายทอด สปอนเซอร์จะแข่งกันสนับสนุน รายได้มหาศาล อันนี้ที่พูด ไม่ได้โม้!!”
“คนดี มันต้องได้ดี”
ทันทีที่จบบทสนทนาเกี่ยวกับ “ไฟต์ในความฝัน” ที่อยากเห็นมันปรากฏเป็นความจริง ดวงตะวันด้านทิศตะวันตกเดินหน้าหาขอบฟ้าลงไปเรื่อยๆ เราเห็นน้องๆ นักมวยรุ่นใหม่กำลังทยอยเข้ามาในค่าย ฝึกซ้อมตามกิจวัตรประจำวัน ท่ามกลางเสียงเตะเสียงต่อยที่ดังสนั่นหวั่นไหวจนเรารู้สึกแปลบไปถึงชายโครง คนทั่วไปที่ไม่ได้เป็นมวย โดนเข้าไปสักแข้ง มีหวังเครื่องนงเครื่องในคงบรรลัยหมด เห็นดังนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะต้องไต่ถามนักมวยอาชีพตัวจริงเสียงจริง
“ต่อยมวยเจ็บบ้างไหม?” เราถาม
“ไม่เคยเจ็บ” เขาตอบ
“เป็นไปได้เหรอ ไม่เจ็บ” เรายังไม่อยากเชื่อ
“ก็เก่งอ่ะ” เขาตอบเรียบๆ แบบไม่ยิ้มไม่หัว
“แล้วถ้าเราเจ็บ เราจะทำไง” เราซักต่อ
“เจ็บก็นอนสิครับ” ทีนี้ เขาหัวเราะออกมาให้กับมุกของตัวเอง “จริงๆ ไม่เคยเจ็บหรอกครับ มันเป็นพรสวรรค์ ไม่ค่อยโดนเตะโดนต่อยเท่าไหร่”
“ทำสิ่งที่เรารักและรักสิ่งที่เราทำ ที่ผมมาเล่นกีฬามวย เพราะมันเป็นสิ่งที่ผมรัก ผมได้ขึ้นเวที ผมได้ไหว้ครู ผมได้เตะ ผมได้ต่อย ผมโดนเตะ ผมก็มีความสุขของผม”
…ในวัย 40 พอดิบพอดี ณ วันนี้ สมรักษ์ คำสิงห์ กำลังมุ่งมั่นเอาจริงกับการตั้งโรงยิมมาตรฐาน เปิดโรงเรียนสอนมวยไทย ส่วนการปั้นมวยขึ้นชกตามเวทีต่างๆ ก็เป็นสิ่งที่ยังทำอยู่ และทำมาเป็นสิบๆ ปีแล้ว
“การดำเนินชีวิตของผม ก็ธรรมดา ง่ายๆ ครับ ทำสิ่งที่เรารักและรักสิ่งที่เราทำ เรารักกีฬามวย เราก็ทำมวย ดูแลเด็ก ไปเรื่อย มันอยู่ที่ความพอใจ คนเรามันอยู่ที่ความสุข ถามว่าทำไมผมกลับมาชก ผมก็อยากจะสร้างสีสัน ผมรักกีฬามวย แล้วยิ่งผมชกเอง ผมก็มีความสุขของผม ไม่ใช่ว่า โอ๊ย เป็นฮีโร่ เลยอยากไปชก ไม่เกี่ยวกันครับ เป็นฮีโร่มันก็ส่วนหนึ่ง แต่ว่าที่ผมมาเล่นกีฬามวย เพราะมันเป็นสิ่งที่ผมรัก ผมได้ขึ้นเวที ผมได้ไหว้ครู ผมได้เตะ ผมได้ต่อย ผมโดนเตะ ผมก็มีความสุขของผม (หัวเราะ) เพราะมันเป็นกีฬาที่เล่นแล้วเรามีความสุขกับมัน”
ชีวิตง่ายๆ สไตล์ฮีโร่ ทุกอย่างดูเหมือนจะอยู่ภายใต้โลโก้ที่มีคำว่า “ความสุข” เป็นเครื่องหมายกำกับ
“อย่างการเลี้ยงคน การทำค่ายมวย มันก็หมดเยอะนะ แต่สำหรับผม มันทำให้มีความสุข ผมก็เลือกและแลกมัน ถ้าใจไม่กว้างจริง ทำมวยไม่ได้ อย่างเด็กลูกวินมอเตอร์ไซค์ ลูกคนงานก่อสร้าง เราก็เลี้ยงงงง…ส่งเรียนหนังสือ อย่างเด็กพวกเนี้ย (หันสายตาไปที่นักมวยวัยเยาว์ซึ่งกำลังฝึกซ้อมอยู่) ก็ไม่รู้หรอกว่าโตขึ้นมันจะเก่งหรือเปล่า โตขึ้นมันจะติดม้า ติดสาว หรือเกเรหรือเปล่า เพราะเราไม่รู้อนาคตเขา การทำค่ายมวยเป็นการลงทุนที่สูง แต่ผลประโยชน์อย่าไปคิดเลย มันอาจจะได้ในแง่ของชื่อเสียงและความสุขทางใจที่หาซื้อไม่ได้ ผมนี่หมดไปเยอะ อย่างไอ้แสนชัยนั่น (แสนชัย ส.คำสิงห์) ผมก็เลี้ยงอยู่ แต่พอกลายเป็นซูเปอร์สตาร์ ก็มีคนมายุแหย่ไป”
ฉากชีวิตบางฉากของ “คนปั้นนักมวย” ทำให้เรานึกไปถึงฉากในหนังบางเรื่องซึ่งเกี่ยวเนื่องกับชีวิตบนสังเวียนผ้าใบ อย่างเช่น Million Dollar Baby อย่างน้อยหนึ่งครั้งที่เจ้าของค่ายมวยอย่าง “แฟรงกี้” ถูกหันหลังให้โดยนักมวยที่ตัวเองปั้นมากับมือ แต่นี่คือชะตากรรมที่ต้องเป็นไป อาจจะโดยการยุแหย่อย่างที่สมรักษ์ว่า หรืออาจจะโดยฝันใฝ่ของนักมวยคนนั้นเองที่เห็นว่า ทางข้างหน้าสดใสกว่าชายคาหลังเดิม
แต่ไม่ว่าจะเป็นแฟรงกี้ในหนัง หรือสมรักษ์ คำสิงห์ ทั้งสองคนต่างโชกโชนบนสังเวียนผ้าใบมานับไม่ถ้วน ชีวิตก็เหมือนการต่อสู้ มีแพ้มีชนะ หรือเสมอบ้างในบางครั้ง แต่ก็ต้องยอมรับในผลนั้น
“ผมเลี้ยงคนตั้งแต่ยุคก่อนที่ผมยังไม่ได้เหรียญทองโอลิมปิกโน่นแน่ะ คนไหนมีลูกมีเมีย ผมก็เลี้ยงมันทั้งลูกทั้งเมียมันด้วย หางานให้ทำ แล้วแต่เราดันได้ ถามว่ามันคุ้มมั้ย มันก็ไม่คุ้มหรอก ถ้าคิดเป็นตัวเงิน แต่มันมีความสุข ชอบ”
“ต่อยมวยนี่รวยไหม” เรายิงคำถามนี้ไปแบบหยั่งเชิงเล่นๆ
“ใช้ได้นะ” เขาตอบ “อย่าลืมนะว่า ส่วนมากที่มาต่อยมวย ลูกคนจนทั้งนั้นแหละ ชกไป เขาก็ส่งเงินให้ทางบ้าน ส่งครอบครัว เป็นรายได้ ชกไปสร้างบ้านไป บ้านเสร็จ ก็หมดสภาพพอดี (หัวเราะ) ชีวิตก็ดีขึ้นได้”
แล้วโดยส่วนตัว สมรักษ์ คำสิงห์ มีเงินถึงร้อยล้านไหม? บางคนคงสงสัยใคร่รู้…“บ้าาาาา…ใครจะไปมีถึงขั้นนั้น เงินไม่ถึงร้อยล้าน แต่บุญเยอะ เพราะเลี้ยงคน ชีวิตเลยไม่ตกอับ”
“มันก็มีบ้างแหละความลำบาก แต่เราก็ขึ้นมาได้ใหม่อยู่เสมอ อย่างผมนั่งอยู่นี่ ก็มีคนโทรมาชวนให้ไปชก ท้าไปท้ามา เราก็ถามว่าไหวเหรอพี่ เขาก็ว่าไหว ก็ได้ชก ชีวิตเรามันมีขึ้นมีลงตามธรรมชาติ ชีวิตคนเรามันไม่ได้โรยด้วยดอกกุหลาบเสมอไป มันก็ช่วงขึ้นช่วงลงบ้าง แต่ถามว่าเราอยู่ได้ไหม อยู่ได้ เรายังอยู่ดีมีความสุข ก็อยู่อย่างงี้ ผมคิดว่าผมคนดี คนดีมันก็ต้องได้ดี อย่าไปตกใจ”
****************
+++บาง “คำ” ของ “สิงห์” แห่งสังเวียนผ้าใบ
จากใจ “สมรักษ์” ถึง “นักมวยรุ่นน้อง”
“มวยมันเป็นพรสวรรค์ เป็นความอัจฉริยะของคน ผมนี่โคตรขี้เกียจซ้อมเลย ต่อยมวยไทยสมัยก่อน ผมซ้อมสามวัน ผมก็ชกแล้ว ผมไม่ซ้อมผมก็ชกได้ อย่างผมไปชกเควันเมื่อสองปีที่แล้ว ผมก็เมาเหล้า ไม่เคยวิ่งไม่เคยอะไร มันก็ไม่มีแรงอะ แต่ต่อยผมไม่ได้ก็แล้วกันน่ะ ต่อยไปยิ้มไป ต่อยผมยาก ผมชกเควันที่ตุรกี ผมก็ได้เป็นแชมป์มา มันเป็นศาสตร์และศิลป์ส่วนตัว เรื่องมวยนะ ผมเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ เลียนแบบไม่ได้
“ดังนั้น กับเด็กรุ่นใหม่ ผมก็บอกมันทุกวันแหละว่า มวยมันเป็นศิลปะการต่อสู้ ถ้าตั้งใจจริง ต่อยเก่ง มันก็สร้างรายได้ช่วยเหลือตัวเองและทางบ้านได้”
ฝากถึงวงการมวย
“มันเป็นเรื่องธรรมชาติของทุกวงการครับ คือถ้าผู้ใหญ่ทะเลาะกัน ถ้ามีฝั่ง มีพรรค มีฝ่ายนู่นฝ่ายนี่ มันก็จะตกต่ำเป็นธรรมดา สมาคมมวยก็เหมือนกัน ในเมื่อแบ่งพรรคแบ่งพวก แบ่งเหล่า แตกความสามัคคีกัน ยุแหย่กัน มันก็ต้องตกต่ำ แต่มันไม่ตกต่ำถึงที่สุดหรอก เพียงแต่มันทำให้สิ่งที่น่าจะพัฒนาไปได้เร็วๆ มีการหยุดชะงัก ชะลอ การพัฒนามันก็ช้าหน่อย
“มองในด้านนักมวยไทย เราต่างก็มีฝีมือดีกันทุกคน แต่ว่าเมื่อผู้ใหญ่ทะเลาะกัน บางที เด็กมันก็รับไม่ได้เหมือนกัน เด็กสับสน แต่มันก็ยังมีความหวังได้อยู่ ถ้าผู้ใหญ่เลิกทะเลาะกัน
“ส่วนตัวผมไม่อยากเข้าไปยุ่ง ผมคิดว่า สมรักษ์ คำสิงห์ ควรอยู่ตรงกลาง คอยให้คำปรึกษากับน้องๆ นักกีฬาที่มีปัญหา ให้ความช่วยเหลือ มีอะไรก็คอยแนะนำ ต่อรองกับผู้ใหญ่ให้ เราก็ช่วยได้ระดับหนึ่ง เป็นที่พึ่งและกำลังใจ”