ประวัติศาสตร์ความสยิว ขุมพลังข้างเตียงของชายไทย

“โป๊มั้ยพี่ โป๊มั้ยพี่” เชื่อแน่ว่า คำถามแบบนี้คงคุ้นหูชายไทยจำนวนไม่น้อย ในทางความหมาย มันหมายถึงการขายตรงถึงตัวผู้บริโภค

แต่สมัยนี้ที่โลกแห่งความใคร่ แปรรูปไปอยู่ในระบบอินเทอร์เน็ตหมดแล้ว ใครใคร่ดูหรือเสพ เพียงแค่นิ้วคลิก โลกของผู้ชายเหงาๆ ก็มาปรากฏเอาตรงหน้าแบบบางทียังไม่ทันตั้งตัวต่อสิ่งที่จะเห็นด้วยซ้ำ เราเผลอตกใจบ่อยๆ เพราะความเซ็กซี่สมัยนี้ช่างดูก้าวล้ำอลังการกว่าสมัยหนังสือปกขาวเป็นไหนๆ

เราคิดแสร้งเป็นไม่รู้ว่าเราเคยผ่านวิวัฒนาการความเสียวจากแผ่นกระดาษก่อนมาสู่หน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างไร แล้วจึงขอออกตามหาอีกครั้งอย่างคราวที่เรากำเงินไปซื้อหนังสือแบบนี้ที่หลังกระทรวง แต่ในยุคดิจิตอลครองเมือง การตามหาความวาบหวิวบนแผ่นกระดาษอาจจะดูไม่น่าอภิรมย์นัก ก็อย่างว่า โตๆ กันแล้ว จะให้เดินไปซื้อหนังสือโป๊มั้ยพี่ ก็คงดูไม่ดี

เราจึงจรลีไปหา “เอ-นิทัสน์ พันธุ” พนักงานเงินเดือนประจำธรรมดา แต่ที่ไม่ธรรมดา เพราะเขามีของที่เราอยากเห็น Taste ขอพาไปรู้จักนักสะสมของตัวเอ้คนหนึ่งซึ่งสร้างพิพิธภัณฑ์เล็กๆ ที่ชื่อว่า พิพิธภัณฑ์ 98 ด้วยทุนของตัวเองมาเป็นเวลานับสิบปี ในมุมมองของเรา เขาเหมือนกับหนังสือประวัติศาสตร์เล่มหนึ่ง มันอาจไม่ใช่ประวัติศาสตร์การเมือง แต่เป็นประวัติศาสตร์การมุ้ง อาจไม่ใช่ประวัติศาสตร์สังคม แต่เป็นประวัติศาสตร์แห่งความเสียว และความบันเทิงข้างเตียงของชายไทย…
นิทัสน์ พันธุ
ชีวิตส่วนตัว คุณทำอะไรบ้าง?
โดยส่วนตัวเป็นเจ้าหน้าที่ทำงานประจำอยู่ครับ นอกจากนั้นก็มาทำพิพิธภัณฑ์ส่วนตัวอย่างที่เห็น ตามเก็บตามหา ตามประสาคนที่รักการสะสมของ แต่ตามจริงจะเน้นในเรื่องของของเล่นเป็นหลัก นอกจากนี้ก็จะเป็นของงานคอลเลกชันที่แตกแขนงออกไป อย่างพระเครื่อง ตั๋วรถเมล์ ภาพถ่ายเก่าๆ รวมถึงของใช้ในชีวิตประจำวันอย่างกล่องสบู่ ยาสีฟัน ผงซักฟอก ก็เก็บเป็นตัวอย่าง

เพราะอะไร ถึงหันมาสนใจเก็บสะสมอะไรเหล่านี้?
เพราะเชื่อว่าเมื่อเวลาผ่านไป สิ่งเหล่านี้มันก็ผ่านไปกับกาลเวลา ต่อไปวันข้างหน้า มันเลิกผลิต มันก็กลายเป็นของหายากไป ก็เหมือนหนังสือพวกนี้ ใครจะรู้ว่าทั้งประเทศ อาจจะมีที่ผมอยู่เล่มเดียวก็ได้ หรือมีก็อาจจะไม่สมบูรณ์ก็ได้ อยู่ที่คนคนนั้นจะเก็บไปเพื่ออะไร แต่สำหรับเราในฐานะนักอนุรักษ์ เราเก็บเน้นถนอม การทำให้มันคงสภาพอยู่

ผมว่ามันเป็นของหายากจริงๆ เพราะมันผ่านกาลเวลา อย่างตั๋วรถเมล์ที่เขาว่ากันว่า “มีราคาเมื่อขึ้น หมดราคาเมื่อลง” จ่ายไป 8 บาทเมื่อขึ้น พอลงจากรถปุ๊บ หมดค่า โยนทิ้งไป แต่ผมก็มาเก็บ คือมองง่ายๆ ในมุมมองนักสะสมก็รวมถึงปฏิทินพวกนี้ด้วยที่บางเล่มบางฉบับ ผมก็เก็บมาจากกองขยะ มันน่าเสียดายนะผมว่า เราเจอ เราก็เก็บมันมาไว้ในพิพิธภัณฑ์ บางทีเจอผมอาจจะตกใจเพราะผมเป็นนักสะสมบางทีก็เดินเก็บตามข้างทาง ตอนแรกแฟนก็ไม่เข้าใจก็ต้องบอกว่านี่คืองาน อาจจะติดเป็นนิสัยแล้วเห็นอะไรเจออะไรไม่ได้ ต้องเก็บ

มีใครมองแปลกๆ บ้างหรือเปล่า เวลาที่เราไปเดินเก็บของพวกนี้ข้างทางหรือตามถังขยะ?
บางทีก็มีคนมองแบบว่ามาเก็บขยะหรืออะไรมั้ย แต่ขยะก็มีราคา อย่างตอนนี้ก็เก็บขวดไว้ เพราะคิดว่ามันมีราคา มันก็คือขยะ แต่ว่ามันมีคุณค่า อย่างตุ๊กตุ่นตุ๊กตามันก็มีค่าของมัน คือเราไม่ต้องลงทุนอะไรมากมาย ตั๋วรถเมล์เราก็ไม่ต้องขึ้นรถ เราก็ได้มันมาข้างทาง บางทีคุณซื้อเหล้ามาเป็นโหลเป็นลัง แต่เราได้ปฏิทินมาจากกองขยะที่คุณทิ้ง เราแทบไม่ต้องเสียตังค์เลย

“บางคนมองว่าหื่นก็เป็นเรื่องปกติ บางคนมองว่าปลุกเร้าอารมณ์เพศ

มันแล้วแต่มุมมองของแต่ละคน”
เอาเป็นว่า ในบรรดาหนังสือที่คุณมีทั้งหมด เล่มไหนถือเป็นประวัติศาสตร์จริงๆ?
ถ้าจะเทียบก็คงจะเป็น “เปิดบริสุทธิ์” เพราะว่ามีหน้าสีที่ดูแล้วสวยจริงๆ มีรูปแบบคำบรรยายและภาพ คือเล่าเรื่องตามภาพ ถือเป็นเล่มต้องห้ามเหมือนกัน

สำหรับคุณ คิดว่าคุณค่าของสิ่งเหล่านี้มันอยู่ตรงไหน?
คุณค่ามันอยู่ตรงที่ว่า แต่ละสิ่งมันผ่านช่วงของกาลเวลา มันทำให้รู้ว่าในช่วงนั้น เขาทำอะไรกันบ้าง มันจะมี พ.ศ.ระบุไว้ ช่วงนี้ถ่ายแบบนี้นะ พอเวลาผ่านไป มันก็เปลี่ยนแปลงไป รูปแบบก็เปลี่ยนแปลงไป เพราะฉะนั้นคุณค่ามันเกิดตรงนี้ มันเป็นหน้าของประวัติศาสตร์ของการพิมพ์ ในเรื่องของการบันทึกไว้ในระบบ มองอย่างนั้นมากกว่า แล้วคนในนั้นทำกิจกรรมอะไร คนนั้นชื่ออะไร ปัจจุบันนี้อาจจะย้อนอดีตกลับไปแล้วมองว่าเธอเคยลงหนังสือเหรอ มันกลายเป็นอดีตไปแล้ว นี่ผมมองในแง่นักสะสม โดยส่วนตัวก็ถือเป็นเรื่องธรรมดา เป็นผู้ชายก็ชอบดูอยู่แล้ว แต่มากกว่าชอบดู คือชอบตามเก็บ มีอะไรก็เก็บ เจออะไรก็เก็บ เพราะว่า ณ เวลานี้ ผมมองโอกาสในเรื่องราคาที่คนเล่นกัน ก็ถือว่าแพงด้วย เพราะเป็นสิ่งที่มีคนตามหาอยู่ แบบสมบูรณ์ก็คงมี แต่ไม่รู้อยู่ที่ใคร ก็ต้องติดตามกันต่อไป ผมก็เป็นส่วนหนึ่งที่เก็บงานตรงนี้ด้วย อย่างงานผมในพิพิธภัณฑ์ 98 ในเรื่องของสิ่งพิมพ์ ปฏิทินนู้ด ในเชิงศิลปะนะ อนาจารมั้ยเป็นมุมมองของแต่ละคนในการรับชมตรงนี้ แต่ผมว่าเป็นเรื่องของศิลปะ เราดีใจที่ได้เก็บงานตรงนี้ที่มีให้เราเก็บ พอเวลาผ่านไป อย่างที่บอกเรื่องของ พ.ศ. คุณค่าที่เกิด มันก็ไม่มีย้อนกลับแล้ว

คิดว่าสื่อพวกนี้มันบอกอะไรเราได้บ้าง นอกจากเรื่องของอารมณ์ทางเพศ?
มองเรื่องของกาลเวลา อดีต ว่าเขาทำอะไร คนพวกนี้เป็นใคร ทำไปเพื่ออะไร ตรงนี้มากกว่าว่าได้อะไรกลับมา บางคนได้เพราะว่าชื่นชอบ บางคนได้เพราะว่าอยากสะสม ติดใจนางแบบคนนั้นเลยตามเก็บ มันเป็นผลพลอยได้ตรงนี้มากกว่า โดยรวมๆ แล้ว ผมมองว่าเป็นประวัติศาสตร์หนึ่งหน้าที่มีงานอย่างนี้เกิดขึ้นในสิ่งพิมพ์ ส่วนใครจะมองว่าลามกอนาจาร ก่อเรื่องไม่ดี อันนี้มันแล้วแต่ในความคิดของเขา

บางคนมองว่าหื่นก็เป็นเรื่องปกติ บางคนมองว่าปลุกเร้าอารมณ์เพศ มันแล้วแต่มุมมองของแต่ละคน เป็นส่วนประกอบมากกว่า อย่างบางทีผมมองแล้วเกิดอารมณ์มันก็เป็นความรู้สึกของแต่ละคนแล้วก็อยู่ที่เราด้วยเพราะเราอยู่เมืองพุทธใช่มั้ยครับ ก็มีเรื่องของศีลธรรมเข้ามาประกอบ มองเรื่องเจตนาของแต่ละคนว่าเขาทำไปเพื่ออะไร ส่วนคนที่ดูแล้วเกิดพฤติกรรมไม่ดีนั้นเป็นเรื่องของเวรกรรมของเขาแล้วล่ะ อย่างในข่าวที่ว่าดูแล้วเกิดอารมณ์นั่นเป็นส่วนของเขา ส่วนผมมองว่าเป็นศิลปะที่จะได้เก็บต่อไปในอนาคต เพราะบางทีมันอาจจะไม่ผลิตแล้วก็ได้ อาจกลายเป็นของหายากไปในอนาคตก็เป็นได้
***เจาะเวลาหาความสยิว*** “ ”

ความหวิวยุคคุณปู่ รูปแบบแรกเป็นการ์ดใบเล็กๆ แบบปฏิทินพกพา แบบแอบเก็บไว้ในกระเป๋าสตังค์ได้ ที่แถมมากับสินค้าต่างๆ หรือเป็นของที่ระลึกของห้องภาพที่จัดถ่าย โดยจะเห็นได้ว่ายังไม่มีความโป๊เปลือยอยู่เลย ไม่มีการเน้นส่วนเว้าส่วนโค้ง แต่จะเป็นการเปิดนิดเปิดหน่อยของนางแบบ อย่างหัวไหล่ เนินอก ขาอ่อน ซึ่งถ้าเป็นตอนนี้ก็ถือเป็นเรื่องเล็กน้อย



ถัดมาก็ยังคงอยู่ในรูปแบบการ์ดหรือปฏิทินพกใบเล็กๆ แต่รูปที่อยู่บนนั้นก้าวข้ามผ่านหวิว แต่กลายเป็นความโป๊แบบเล็กๆ ซึ่งในยุคนี้จะเห็นได้ว่าเป็นภาพสีไม่ใช่ขาวดำ และนางแบบส่วนมากเป็นคนต่างชาติ ภาพที่อยู่บนการ์ดเริ่มเรียกได้แล้วว่าเป็นความโป๊เปลือย




มาถึงอีกหนึ่งอย่างคลาสสิกของประเทศ ปฏิทินนู้ดที่แถมกับเหล้า ที่คุ้นหูที่สุดคงเป็นปฏิทินแม่โขง แต่ก็ไม่ได้มีแค่แม่โขงที่ทำ สุราอีกหลายยี่ห้อก็ทำเช่นกัน รวมถึงผลิตภัณฑ์อีกหลายอย่างที่ใช้หลักการตลาดด้วยความสยิว อย่างแบตเตอรี่รถ น้ำมันเครื่อง ภาพถ่ายมีองค์ประกอบทางศิลปะ มีการจัดไฟ เซตเป็นรูปแบบและองค์ประกอบของเครื่องเคราส่วนตัวของนางแบบ ที่เรียกได้ว่า เกือบจะเห็นครบถ้วนอยู่แล้วเชียว ยุคนี้ก็เป็นยุคไล่ๆ กับที่หนังสือปลุกใจเสือป่าเริ่มออกอาละวาด และดูจะหาได้ง่ายกว่าสมัย “หนังสือปกขาว” ของยุคคุณปู่ซะอีกด้วย ชายไทยที่อายุราวๆ 30 ขึ้นไป คงคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีกับวัฒนธรรมหนังสือวาบหวิวเหล่านี้

จนมาถึงยุคหลังที่ความเสียวบนแผ่นกระดาษเริ่มไม่เป็นที่นิยม จากการเข้ามาของวีซีดี ดีวีดีที่พัฒนามาจากม้วนวิดีโอ และสื่ออินเทอร์เน็ตที่ทุกคนเลือกที่จะหาความเสียวกันในรูปแบบนิ้วคลิกกันซะมากกว่า จนสื่อหนังสือเสียวเริ่มหายหน้าหายตาไปเรื่อยๆ คงเพราะสู้ไม่ได้กับความโป๊เปลือยที่ไม่มีปกปิดกันอีกต่อไป จนกลายเป็นรูปแบบของความเซ็กซี่แบบเห็นไม่มาก แต่จะขายกันที่ตัวนางแบบมากกว่า จนลามมาถึงเผ่าดาราที่ถอดเสื้อผ้าถ่ายรูปกันทุกวันนี้

user's Blog!

49/1 ชั้น 4 อาคารบ้านเจ้าพระยา ถนนพระอาทิตย์ แขวงชนะสงคราม เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200

49/1 4th floor, Phra-A-Thit Road, Chanasongkhram,Phanakorn Bangkok 10200

Tel. 02 629 2211 #2256 #2226

Email : mars.magazine@gmail.com

FOLLOW US ON

SUBSCRIBE