อีกไม่กี่ชั่วโมงถัดจากนี้ นับตั้งแต่ที่เราออนไลน์บทสัมภาษณ์ชิ้นนี้ Man of Steel หรือซูเปอร์แมนเวอร์ชันใหม่ ภายใต้การกำกับของแซ็ค ซไนเดอร์ โดยมีชื่อของคริสโตเฟอร์ โนแลน เป็นหัวเรือใหญ่ในทีมโปรดิวซ์ของหนังด้วย เห็นชื่อ ซไนเดอร์ กับ โนแลน ซึ่งจัดอยู่ในสายแข็งด้วยกันทั้งสองคนแล้ว คอหนังย่อมคาดหวังคาดเดาได้ว่า ซูเปอร์แมนฉบับนี้ จะต้องออกมาในรูปลักษณ์ “ดาร์ก” และ “นัวร์” อย่างไม่ต้องสงสัย
อะไรคือสิ่งที่ซูเปอร์แมนจะต้องเผชิญ เขาจะเหมือนกับบรูซ เวย์น ในแบทแมน ไตรภาคของโนแลน หรือไม่ หรือจะเจอสถานการณ์เดียวกันกับเหล่าฮีโร่ตกที่นั่งลำบากใน Watchmen งานนี้ คนที่จะพูดได้ชัดเจนมากที่สุดคนหนึ่ง ก็คงหนีไม่พ้นตัวนักแสดงที่จะมาสวมใส่อาภรณ์ของซูเปอร์ฮีโร่อย่าง “เฮนรี่ คาวิลล์”
ท่ามกลางกองทัพคำถามจากนักข่าวต่างประเทศ มีหลายคำถามที่เราคิดว่าน่าสนใจ และเก็บเกี่ยวมาบอกกล่าวเล่าต่อ ซึ่งน่าจะเป็นการเพิ่มเสริมเติมอรรถรสในการรับชมหนังเรื่องนี้ได้ดียิ่งขึ้น เอาล่ะ “ซูเปอร์แมน” มานั่งอยู่ตรงหน้าของเราแล้ว
ในหนังเรื่องนี้มีการใช้ CGI แต่ฉากบินนั้นทำกันอย่างไร คุณเป็นซูเปอร์ฮีโร่ เพราะฉะนั้น คุณต้องไม่ต่อสู้ด้วยวิธีธรรมดา มีการใช้รูปแบบศิลปะการต่อสู้มาผสมกับบางสิ่งที่แตกต่างออกไป คุณช่วยพูดเรื่องนั้นหน่อย
ใช่ครับ สำหรับฉากบินเราต้องซ้อมกันอยู่หลายครั้ง ในการบินแบบความเร็วสูงส่วนใหญ่จะใช้แผ่นรองใต้ท้อง เป็นเหมือนแม่พิมพ์ร่างกายส่วนหน้าของผม ให้ผมนอนข้างในนั้น แล้วก็จะมีแกนหมุนพิเศษที่สร้างขึ้นมา เพราะฉะนั้น คุณจะได้เห็นภาพผู้ชายในชุดเขียวและฉากเขียวที่เคลื่อนไหวตามการกำกับของแซ็ค (แซ็ค ซไนเดอร์ ผู้กำกับ) ผมแค่ต้องจินตนาการว่ากำลังบินอยู่ เราได้ความช่วยเหลือมากมายจากภาพที่แซ็คคิดไว้และการกำกับของเขา นอกจากนี้ยังมีการใช้ลวดสลิง ซึ่งเราทำในกระบวนการสตันท์ทั้งหมด มันซับซ้อนมากและทีมงานก็ทดสอบมันอย่างดี มีทีมงานอย่าง จิม เชิร์ชแมน ซึ่งทำงานเรื่องลวดสลิงได้เก่งมาก
ถ้าพูดถึงฉากบิน ส่วนนี้น่าจะสนุกที่สุดสำหรับผม เพราะผมต้องอยู่เหนือพื้น 40 ฟุต และอยู่ภายใต้การควบคุมของคนอื่นโดยสิ้นเชิง เยี่ยมไหมล่ะ นี่ล่ะขั้นตอนที่ทำให้คุณรู้สึกเหมือนบินอยู่และกลายเป็นซูเปอร์แมน
เราใช้คำว่า “คนต้นแบบ” (icon) กันอย่างแพร่หลายในทุกวันนี้ แต่แน่นอนว่านี่คือตัวละครที่เป็นต้นแบบจริงๆ คุณรู้สึกว่าต้องแบกความรับผิดชอบในการรับบทซูเปอร์แมนหรือไม่ และคุณหาทางเปลี่ยนตัวเองให้เป็นตัวละครต้นแบบนี้ได้อย่างไร
อันดับแรก ผมไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องของการเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นตัวละครต้นแบบ ในการรับบทเป็นตัวละครแบบนี้ คุณต้องไม่พยายามที่จะเป็นต้นแบบเพราะนั่นก็เท่ากับเสียจุดประสงค์ของมันไป ผมว่าความรับผิดชอบที่มาพร้อมกับบทนี้มันใหญ่หลวงมาก และการได้ตระหนักว่ามันสำคัญมากเพียงใดทำให้ผมอยากทุ่มเททำงานให้เต็มที่เพื่อนำเสนอตัวละครนี้อย่างเหมาะสม มันช่วยได้มากเวลาผมฟิตร่างกายอยู่ในโรงยิม ถ้าผมรู้สึกว่าทำต่อไม่ไหวแล้วหรือยกน้ำหนักไม่ขึ้นแล้ว ผมจะคิดว่า ‘เดี๋ยวก่อนนะ เราต้องดูเหมือนซูเปอร์แมน มีคนมากมายรอให้เราเป็นซูเปอร์ฮีโร่’ เพราะฉะนั้น มันช่วยให้ผมเล่นต่อได้อีกสองสามชุดเพื่อเป็นตัวละครนี้ให้ได้
คลาร์กใช้เวลาทั้งชีวิตหลีกเลี่ยงการต่อสู้ แล้วจู่ๆ เขาก็มาตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลือกไม่ได้ คุณคิดว่าเกิดอะไรขึ้นในหัวของเขาตอนนั้น เขาก้าวผ่านมันไปได้อย่างไร
เขาก้าวผ่านมันไปได้หลังได้รับคำแนะนำอันชาญฉลาดจากจอร์-เอล ตรงจุดนั้นเองที่เขาต้องทดสอบตัวเอง เมื่อพูดถึงการต่อสู้ มันไม่ใช่การเลือก คุณต้องลงมือทำ สำหรับตัวละครแบบนี้มันไม่ใช่ ‘เอาล่ะ เราต้องเปลี่ยนมุมมองของตัวเองแล้ว’ แต่มันเป็นการตอบสนองไปตามสถานการณ์ ซึ่งการตอบสนองนั้นก็รวมถึงการต่อสู้ด้วย
“การเป็นนักแสดงเป็นประสบการณ์ที่โดดเดี่ยว”
เราไม่เคยเห็นคาล-เอลหรือคลาร์ก มีปมขัดแย้งเรื่องที่ว่าเขาเป็นใคร มีผลงานคลาสสิกของซูเปอร์แมนที่ช่วยคุณในการสำรวจแนวคิดนี้ไหม
ผลงานคลาสสิกของซูเปอร์แมนน่ะเหรอ ถ้าพูดถึงปมขัดแย้งที่เขาต้องเผชิญหรือการเดินทางของเขา มันไม่ได้เกี่ยวกับผลงานคลาสสิกเลย เวลาคุณเห็นคลาร์กเดินทางรอบโลก พยายามค้นหาว่าเขาเป็นใครและเพราะอะไร ผมไม่ได้กลับไปอ้างอิงผลงานต้นฉบับ ผมแค่นึกถึงและนำเอาชีวิตของตัวเองมาใช้ การเป็นนักแสดงเป็นประสบการณ์ที่โดดเดี่ยว นอกจากว่าคุณมีใครสักคนร่วมเดินทางไปกับคุณตลอดเวลา คุณใช้เวลามากมายอยู่กับตัวเองและพบผู้คนใหม่ๆ สร้างครอบครัวชั่วคราวขึ้นมา คุณรักพวกเขา แต่ก็อาจไม่ได้พบพวกเขาอีก นอกเหนือจากงานแถลงข่าวสื่อซึ่งเป็นสถานการณ์ที่แปลกออกไป คุณนำสิ่งเหล่านี้มาใช้กับตัวละคร และสิ่งที่ตรงกับประสบการณ์ของซูเปอร์แมนก็คือการพบคนกลุ่มใหม่ๆ อยู่เสมอ แล้วก็ต้องหายตัวไป แล้วก็ต้องแนะนำตัวเองกับคนกลุ่มใหม่ๆ และพิสูจน์กับคนเหล่านั้นว่าตัวเองเป็นคนดีและพยายามทำสิ่งที่ถูกต้อง แล้วจากนั้นเขาก็ต้องหายตัวไปอีก ความโดดเดี่ยวแบบนี้ล่ะที่ผมนำไปใช้ แทนที่จะเป็นการกลับไปอ้างอิงงานซูเปอร์แมนแบบคลาสสิก
คุณได้รับอิทธิพลจากนักแสดงคนอื่นๆ ที่เล่นบทนี้มาก่อนหรือไม่ และคุณอยากแสดงให้แตกต่างออกไปอย่างไรบ้าง
ผมไม่ได้รับอะไรจากซูเปอร์แมนคนอื่นๆ ก่อนหน้านี้ ในแง่การเป็นนักแสดง วิธีการที่ผมใช้และแนวทางที่ผมมองก็คือนักแสดงทุกคนที่เล่นมาก่อนหน้า ตีความจากต้นฉบับ ซึ่งก็คือหนังสือคอมิก และผมก็ต้องการการตีความตามแบบของผมเองเหมือนกัน ไม่ใช่เพราะถือตัวว่าเป็นคนสำคัญอะไรหรอกนะ แต่เป็นความรู้สึกว่าการแสดงอาจไม่ต่อเนื่อง ถ้าผมใช้บุคลิกของคนอื่นและให้อิทธิพลจากคนอื่นมาส่งผลต่อการตีความตัวละคร ฉะนั้น ผมจึงตรงไปยังหนังสือคอมิกเลย ผมดูหนังที่เคยทำมาก่อนหน้านี้เหมือนกัน แต่ผมไม่ได้นำการแสดงเหล่านั้นมาใช้กับตัวเอง
คุณช่วยไขความกระจ่างเรื่องที่คนเถียงกันในอินเทอร์เน็ตว่าซูเปอร์แมนโกนหนวดอย่างไรได้หรือเปล่า คุณเห็นคลิปนั้นหรือยัง
เห็นแล้วครับ ผมว่าบางอย่างปล่อยให้เป็นความลับไปจะดีกว่านะ ไม่อย่างนั้นจะให้คนทำอะไรกันล่ะ ถ้าไม่พูดเรื่องลึกลับพวกนี้
กลับมาเรื่องจริงจังกันบ้าง มีประโยคที่จอร์-เอลพูดในหนังว่า ‘คุณต้องให้ความหวังพวกเขา’ ฮาร์วีย์ มิลค์ [ผู้เสนอกฎหมายและเรียกร้องสิทธิของกลุ่มรักร่วมเพศ] ก็เคยพูดไว้เช่นกันว่า ‘คุณต้องให้ความหวังพวกเขา’ และเรารู้สึกว่าตัวละครอย่างซูเปอร์แมนเป็นการสื่อสารถึงคนนอก ถึงเด็กที่ไม่เข้ากับสังคม หรือคนที่ถูกแยกออกไปไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม และเราชอบการเชื่อมโยงในส่วนนี้มาก
ใช่แล้ว แต่ผมไม่คิดว่าเขาจะต้องสื่อสารถึงคนนอกเท่านั้นนะ เขาพูดกับทุกคน หรือแนวคิดนี้พูดกับทุกคนก็ว่าได้ เราทุกคนต้องการความหวัง ไม่ว่าเราจะอยู่ในศตวรรษไหน ไม่ว่าเราจะอยู่ในช่วงไหนของชีวิต ไม่ว่าเรากำลังเผชิญกับโศกนาฏกรรมอยู่หรือไม่ เราต้องการแค่ความหวังว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะเรียบร้อยดี และถ้ามีโศกนาฏกรรมและหายนะเกิดขึ้น เราก็ต้องการความหวังว่าเราจะฝ่าฟันมันไปได้ ผมไม่คิดว่าเรื่องนี้สื่อสารเฉพาะกับคนนอกและคนที่อยู่ตามลำพังเท่านั้น แต่เป็นการพูดกับทุกคนครับ