“วงการคอสเพลย์ไทยนี่ซอฟต์มากๆๆ ค่ะ เป็นวงการที่เบาบางมากถ้าเทียบกับต่างประเทศ” mars ชวนเปิดเส้นทางชีวิตและชมแฟชั่นคอสเพลย์ในแบบเซ็กซี่ของ ‘โม่ยจัง-ชลฐิติรัตน์ แก้วแดง’ นางแบบและคอสเพลเยอร์สาวคนดัง ผู้หลงรักการคอสเพลย์ตั้งแต่เด็กจนกลายมาเป็นคอสเพลเยอร์ตัวแม่คนหนึ่งของวงการคอสเพลย์เมืองไทย ต้องบอกว่าเส้นทางชีวิตของเธอไม่ธรรมดาเลยจริงๆ เพราะกว่าจะมายืนอยู่ในจุดนี้ได้ เธอออกจากบ้านตั้งแต่วัย 15 ทิ้งห้องเรียนมัธยมเพื่อเดินตามเส้นทางที่เธอรักและชอบ… “คนเรามันก็ต้องสู้เพื่อความอยู่รอด เป็นเรื่องปกติของมนุษย์อยู่แล้ว” ขณะเดียวกันระหว่างทางในโลกของคอสเพลย์และนางแบบได้มอบหลายสิ่งหลายอย่างให้กับชีวิตของเธอ… “เรื่องที่สำคัญมากๆ คือเราถ่ายเซ็กซี่ เราอาจจะโดนคนเหยียด ใครจะดูถูกหรือเหยียดหยามเราก็ตาม แต่เราอย่าดูถูกตัวเอง เพราะถ้าเราดูถูกตัวเองถือว่าเราแพ้แล้ว”
ก่อนจะมาเป็นคอสเพลเยอร์
เป็นเด็กนักเรียนคนหนึ่งที่เรียนหนักมาก เพราะคุณแม่เป็นคนที่ค่อนข้างซีเรียสกับเรื่องเกรด คุณแม่ต้องการให้ทุกอย่างออกมาดูดี เพราะเชื่อว่าถ้าวันนี้เราเรียนดีมันจะเป็นส่งผลดีต่ออนาคตของเราในวันข้างหน้า เป็นคนที่ไม่มีกิจกรรมอะไรกับเพื่อนเลย ตื่นเช้ามาไปเรียน เรียนเสร็จกลับบ้านเลยทันที
เริ่มชอบการแต่งคอสเพลย์มาตั้งแต่ตอนไหน มีคอสเพลเยอร์ที่เป็นไอดอลไหม
ช่วงวัยเรียนสิ่งที่ผ่อนคลายสำหรับเราคือการ์ตูนค่ะ กลับจากโรงเรียนมาดูการ์ตูน และทำการบ้านไป จากตรงนี้ทำให้เราเริ่มอยากคอสเพลย์ค่ะ ตอนนั้นเป็นแค่ความชอบ แต่ไม่ถึงกับคลั่งไคล้ แค่อยากแต่งตัวให้เหมือนตัวละครนั้นๆ ส่วนคอสเพลเยอร์ที่เป็นไอดอลของโม่ยคือคุณ ‘เอนาโกะ’ ซึ่งเป็นคอสเพลเยอร์อันดับหนึ่งของญี่ปุ่น เขาเป็นคนคอสเพลย์เพราะความชอบ คอสเพลย์มาตั้งแต่เรียนมัธยมต้น และทำมานานมากๆ สิ่งที่โม่ยชอบเขามากๆ คือเขาแสดงความสดใสออกมาได้ดีมากๆ การคอสเพลย์แต่ละชุดของเขาเป๊ะมาก เขามีความเป็นมืออาชีพ การทำงานของเขาแต่ละงานมันสมบูรณ์แบบ
ทางครอบครัวพ่อแม่ว่ายังไงบ้าง
ช่วงแรกคุณแม่ค่อนข้างคัดค้าน เพราะยังทำงานหารายได้ไม่ได้ เวลาจะต้องไปคอสเพลย์ต้องใช้เงินของที่บ้าน คุณแม่จะมองว่าเป็นกิจกรรมที่สิ้นเปลืองเงิน เงินก็ยังหาไม่ได้แถมงานอดิเรกแต่งคอสเพลย์ชุดหนึ่งค่อนข้างแพงมาก ต้องใช้เงินไม่ใช่ซื้อแค่เฉพาะชุด ยังมีเครื่องสำอาง วิก พร็อพต่างๆ ค่อนข้างเยอะ ต้องใช้เงินอีกเยอะ มันจะไม่เหมือนตอนเริ่มมาเป็นนางแบบ มีรายได้ในการมาคอสเพลย์เอง ตอนแรกโม่ยไม่ได้อยากแต่งคอสเพลย์เป็นอาชีพนะ แค่ชอบตัวละครนี้อยากแต่งตัวแบบนี้เท่านั้น หลังจากเริ่มมีรายได้เป็นของตัวเองแล้ว คนสนใจเยอะ คุณแม่ก็เริ่มเห็น เริ่มสนับสนุนว่าไหนๆ ก็โตแล้ว หารายได้ได้เองแล้ว ก็ทำให้มันสุดเส้นทางกับสิ่งที่ตัวเองชอบเลยแล้วกัน จริงๆ คุณแม่เป็นคนปากไม่ตรงกับใจ เขาอยากให้เราลองทำนั่นแหละ แต่อยากดูว่าเราจะทำอย่างจริงจังหรือเราจะยอมแพ้หรือเปล่าเท่านั้นเอง
เส้นทางสู่คอสเพลเยอร์และนางแบบอาชีพ
จริงๆ ช่วงนั้นคุณแม่มีน้องด้วย น้องเพิ่งคลอด คุณแม่มองว่าค่าใช้จ่ายมันน่าจะเพิ่ม บวกกับหนูอยากจะทำงานอยู่แล้ว เลยบอกกับแม่ว่าจะไปแล้วนะ ไม่อยู่บ้านแล้วนะ แม่บอกว่าไปเถอะ ไปแล้วอยู่ให้รอดแล้วกัน ไม่มีตังค์แล้วอย่ากลับบ้าน ไม่รับแล้วนะ แต่คุณลุงพ่อเลี้ยงเขาจะสนับสนุนทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมเสียเงินหรือไม่เสียเงิน วันที่หนูออกจากบ้านหนูบอกคุณลุงเป็นคนสุดท้ายว่าหนูไม่อยู่บ้านแล้วนะ จะไปทำงานที่กรุงเทพฯ คุณลุงให้เงินค่ารถค่ากินมาไม่มาก เขาบอกว่าไปทำงานกรุงเทพฯ หาเงินให้ได้สักแสนหนึ่งแล้วค่อยกลับมา
ตอนนั้นหนูอายุ 15 ตัดสินใจทิ้งการเรียนเลย มากรุงเทพฯ หนูเริ่มมีเงินจากการถ่ายงานงานหนึ่งห้าพันถึงแปดพัน ไปติดต่อหาห้องเช่ารายเดือน แต่หาที่ถูกใจไม่ได้ ก็เลยเช่าอยู่เป็นรายวันไปก่อน จากนั้นไปเจอรุ่นพี่ในวงการคอสเพลย์ที่รู้จัก เขาเอ็นดูเรา เขาให้ที่อยู่ฟรีหารค่าน้ำค่าไฟกัน
ความต่างระหว่างคอสเพลย์กับการถ่ายแบบเซ็กซี่
การถ่ายแบบเซ็กซี่เราต้องพรีเซ็นต์ความเซ็กซี่ของตัวเองออกไป เช่นถ่ายบิกินี่คุณต้องคิดและพรีเซ็นต์ความเซ็กซี่ในแบบของตัวเองออกไปให้ได้ แต่ไม่ได้มีคาแร็กเตอร์ว่าให้คนใส่บิกินี่ต้องมีแบบแบบไหน ท่าทางยังไง แต่ว่าคอสเพลย์มันมีชุด มีตัวละคร มีคาแร็กเตอร์บทบาทมาให้เรา อย่างสมมุติคุณใส่ชุดชุดนั้น เป็นตัวละครตัวนั้น คุณจะต้องเป็นเหมือนตัวละครตัวนั้นทั้งหน้าตา ท่าทาง บุคลิก คำพูด ทุกอย่าง อยู่ที่ว่าเราจะเอาคาแร็กเตอร์นั้นออกมาได้ดีแค่ไหน
ทั้งคอสเพลย์กับการถ่ายแบบเซ็กซี่ โม่ยจังมีลิมิตของตัวเองไหมว่าเซ็กซี่ได้ขนาดไหน
ลิมิตการถ่ายแบบเซ็กซี่ของหนูก็คือแบบชุดเซ็กซี่โดยทั่วไป มีท็อปเรตบ้าง แต่ไม่ใช่เปลือยแบบเห็นหมดนะ มีปิดจุกเซฟไว้ หนูไม่ถ่ายนู้ด ส่วนคอสเพลย์ ก็คอสเพลย์ตัวละครที่ชอบไปเรื่อยๆ มีเวลาว่างเราแต่งคอสเพลย์ หรือมีงานถ่ายแบบเซ็กซี่ก็ถ่ายไปตามลิมิตที่เราไหว ตามชุด ตามงานใหม่ๆ ที่เรามี เพราะว่าคนเรามันต้องแบ่งเวลา ทำยังไงให้งานทั้งสองอย่างบาลานซ์กัน แต่ทั้งงานหลักและงานอดิเรกของโม่ยใช้การถ่ายรูปเหมือนกัน มันเลยไม่ได้ลำบากมากเท่าไหร่
จากคอสเพลย์สู่การถ่ายแบบเซ็กซี่ ครอบครัวและคนรอบข้างว่ายังไงบ้าง
เพื่อนและคนรู้จักเคยเห็นเราคอสเพลย์มาตลอดก็ตกใจค่ะ แต่เขาเข้าใจนะว่าหนูต้องทำงาน ไม่ใช่ทำแบบไม่มีเหตุผล ทุกคนไม่อยากให้ถ่ายเซ็กซี่หรอก แต่ทำยังไงได้ล่ะ ทุกคนติดตามงานเรา แต่ไม่ได้มาดูแลชีวิตเรา เขาก็ให้กำลังใจ ส่วนคุณแม่เฉยๆ ค่ะ โม่ยถ่ายงานเซ็กซี่เหรอ ก็ถ่ายไป เพราะคุณแม่มองว่าทำงานอะไรก็ได้ที่เป็นงานสุจริตและทำให้เรามีรายได้อยู่ได้โดยไม่เดือดร้อนคนอื่น บางคนอาจจะบอกว่าน้องโม่ยถ่ายงานแบบนี้ คุณแม่โอเคเหรอ หนูกลับไปเชียงใหม่ล่าสุดยังถามคุณแม่เลย แม่บอกว่าเอาเวลาที่ถามว่ารังเกียจไหม โอเคไหม ไปทำงานเถอะ ไม่ต้องมาสนใจเรื่องคนอื่นขนาดนี้ เพราะถ้าคุณแม่ไม่โอเคคงไม่ได้ทำมาจนถึงทุกวันนี้หรอก คือส่วนใหญ่จะคิดว่าพ่อแม่ครอบครัวของหนูไม่โอเค ซึ่งความจริงถ้าให้หนูพูดนะ นี่มันยุคไหนแล้ว สิ่งที่หนูทำมันคือชุดเซ็กซี่ ไม่ได้แก้ผ้าโฉ่งฉ่าง ใส่ชุดเซ็กซี่ไปสวนสาธารณะ มันไม่ใช่นะ มันเป็นการทำงานในสตูดิโอ อาจจะเป็นสิ่งที่สังคมไทยไม่ค่อยมี เลยทำให้ดูตื่นตระหนก แต่ความจริงให้นึกถึงฟิลลิ่งที่เราไปเดินตามชายหาดมีคนใส่บิกินี่เรายังรู้สึกเฉยๆ แล้วกับคนใส่บิกินี่ถ่ายรูปในสตูดิโอทำไมตกใจล่ะ แค่นี้เอง คนเราทำอะไรทุกอย่างต้องมีเหตุผล อยู่ที่คนจะมอง
ตอนนี้สัดส่วนระหว่างคอสเพลย์กับถ่ายแบบเซ็กซี่ อย่างไหนมากน้อยกว่ากัน
ตอนนี้เท่ากันค่ะ เพราะคอสเพลย์ของหนูตอนนี้เป็นอาชีพเหมือนกับการถ่ายแบบไปแล้ว
การคอสเพลย์และถ่ายแบบน่าจะใช้ทักษะต่างกัน เรียนรู้และปรับตัวยังไง
จริงๆ การเป็นคอสเพลเยอร์ต้องมีทักษะในการโพสท่าอยู่แล้วค่ะ แต่ว่าการโพสท่าของตัวละครแต่ละตัวไม่เหมือนกัน อย่างตัวละครที่เป็นผู้ชายต้องแมนหน่อย ตัวละครที่เป็นผู้หญิงขี้งอน เจ้าน้ำตา หรือเซ็กซี่ มีการโพสท่าไม่เหมือนกันอยู่แล้ว ซึ่งทำให้การที่โม่ยมาเป็นนางแบบจึงไม่ใช่เรื่องยากลำบาก เพราะมีพื้นฐานจากการคอสเพลย์มาก่อน จริงๆ คอสเพลย์สำหรับโม่ยมันมีประโยชน์หลายอย่างนะ เช่นการกล้าแสดงออก อย่างบางคนแต่งคอสเพลย์แล้วมาเดินงาน แต่พอตากล้องจะถ่ายเขาไม่กล้าให้ถ่ายนะ มันฝึกเรา พอเราอยู่ท่ามกลางคนหมู่มาก อยู่ในบุคลิกตัวละครนั้นแล้ว มันฝึกเราเรื่องการจะแสดงออกมายังไง มันฝึกเราทั้งการบริหารเงินด้วย อย่างสมมุติเดือนนี้เราได้เงินมาห้าหมื่น เราจะซื้อชุดคอสเพลย์เท่าไหร่ถึงจะบาลานซ์กับเงินที่เราได้มา ฝึกทั้งทักษะการแต่งหน้า เซตวิก ทำพร็อพ รวมถึงการฝึกเราในเรื่องระเบียบวินัย การตรงต่อเวลา เพราะบางงานคอสเพลย์ไม่ได้มีเราคนเดียว มีเพื่อนๆ ร่วมคอสด้วย ฉะนั้นมันจะฝึกการอยู่กับคนรอบข้างและสังคมยังไงให้เราอยู่รอดและไม่สร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น
ส่วนทักษะการพรีเซ็นต์ความเซ็กซี่สำหรับโม่ยคือ เราต้องรู้ว่าเรามีจุดเด่นอยู่ตรงไหน เช่นบางคนอาจจะหน้าอกไม่ใหญ่ แต่สะโพกใหญ่มาก ก้นสวย คุณต้องพรีเซ็นต์ตรงที่มันสวย ที่คุณมั่นใจที่สุดของคุณออกมา นี่คือเคล็ดลับที่ใช้ได้กับการถ่ายรูป ใช้ได้กับทุกอย่าง
เป็นคอสเพลเยอร์ไปงาน หรือถ่ายแบบเซ็กซี่ เคยโดนตากล้องหรือคนดูถ่ายรูปแบบที่เรารู้สึกว่าโดนละเมิดสิทธิ์บ้างไหม จัดการ หรือเซฟตัวเองยังไง
มีซัพพอร์ตไปด้วยตลอดตั้งแต่คอสตอนแรกจนถึงปัจจุบันเลยค่ะ คือโม่ยไม่ได้เป็นคอสเพลเยอร์คนแรกในไทย มันมีคอสเพลเยอร์รุ่นเก่าที่เขาเคยเจอปัญหาแบบนี้มาก่อน เขาก็มาแชร์ประสบการณ์ว่าเจอแบบนี้ ทำประมาณนี้ในงาน ฉะนั้นเวลาที่โม่ยไปงานโม่ยจะให้ซัพพอร์ตเดินตาม เวลาช่างภาพถ่ายรูปจะให้ซัพพอร์ตมานั่งดู ถ้าช่างภาพคนไหนมุมกล้องเริ่มแปลกๆ ต่ำลงๆ ซัพพอร์ตหนูก็จะไปบอกไม่ได้นะ หรือถ้าซัพพอร์ตไม่อยู่เราก็ต้องดูแลตัวเอง เซฟตัวเอง หรือถ้าถูกคุกคามในงานอีเวนต์ วิ่งไปหาสตาฟฟ์เลยค่ะ ว่ามีเรื่อง จะเป็นการช่วยแก้ปัญหาได้ดีกว่า หรือเวลาไปถ่ายงานแล้วเจอตากล้องโรคจิตจะลวนลาม เราก็ต้องห่วงตัวเองก่อน อย่างหนูเป็นนางแบบที่ไม่ถ่ายนู้ด แต่ตากล้องบอกพี่จะให้เรตเพิ่มนะถอดหน่อย ก็รักษาสิทธิ์ของตัวเอง ปฏิเสธไปค่ะ เพราะว่าถ้าสมมุติเราเผลอพลาดอะไรไป มันอาจจะเกิดผลร้ายแรงมากกว่าที่คิด จำนวนเงินที่ได้มามันอาจจะไม่คุ้มค่ากับความเสียหายที่เกิดขึ้นกับเราตอนนั้นก็ได้ ถ้าจะให้หนูให้ข้อคิดกับคอสเพลเยอร์และนางแบบคนอื่นยังไง คือต้องรักตัวเองก่อนค่ะ คิดเผื่อตัวเองและสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาจากปัญหานั้นให้เยอะๆ ค่ะ เพราะไม่มีใครดูแลตัวเราและรักเรามากกว่าตัวเราเองหรอกค่ะ
ในโลกโซเชียล โดนเหยียด หรือโดนอะไรแรงๆ บ้างไหม
เวลาเจอข้อความแปลกๆ โม่ยเลือกที่จะไม่อ่าน ไม่สนใจ เพราะถ้าการที่เราไปต่อล้อต่อเถียง ต่อความยาวสาวความยืดมันจะมีปัญหาตามมาเยอะกว่า ถ้าเราไม่ตอบเลยมันก็จะจบอยู่ตรงนั้น คนที่เขาไม่หวังดีกับเราเขาก็จะทำสิ่งที่ไม่เกิดผลดีกับเราหรอก เราอย่าไปสนใจเขาเลยจะดีกว่าค่ะ อีกเรื่องที่สำคัญมากๆ คือเราถ่ายเซ็กซี่ เราอาจจะโดนคนเหยียด ใครจะดูถูกหรือเหยียดหยามเราก็ตาม แต่เราอย่าดูถูกตัวเอง เพราะถ้าเราดูถูกตัวเองถือว่าเราแพ้แล้วล่ะ
ส่วนที่โม่ยจังคิดว่ามีเสน่ห์และเซ็กซี่ที่สุดของตัวเอง
สะโพกค่ะ ทุกๆ คนบอกว่าชอบสะโพกของโม่ยมาก มันเป็นเคิร์ฟเป็นทรงที่สวย หลายคนถามว่าทำศัลยกรรมก้นเหรอ ความจริงคือไม่ได้ทำอะไรเลย อาจจะเป็นแต้มบุญของโม่ยสมัยเรียนที่วิ่ง เล่นวอลเลย์ กระโดด เล่นบาส เลยทำให้ร่างกายมันโอเคค่ะ
คิดว่าจะอยู่ในวงการคอสเพลย์และถ่ายแบบเซ็กซี่อีกนานแค่ไหน
คิดไว้ว่าอย่างไวสุด 23 และอย่างช้าสุด 30 ค่ะ เพราะว่าโม่ยต้องกลับไปช่วยพ่อแม่ดูแลธุรกิจค่ะ ตอนนี้คุณพ่อเลี้ยงเป็นตัวหลักที่ทำงาน ด้วยความที่อายุมากแล้วเขาก็จะไม่ไหว ถามว่าทำไมไม่ให้คุณแม่ทำล่ะ คุณแม่ไม่ได้ดูดซับวิชาจากคุณพ่อ คือคุณพ่อเขาทำกราฟิกดีไซน์ ทำโรงพิมพ์ หนูจะไปดูว่าเวลาพ่อทำงานเลือกสี เลือกหมึก กระดาษเขาทำงานยังไง หนูจะได้ความรู้มามากกว่าแม่ จริงๆ ที่ทุกคนเห็นรูปหนูทำไมมันเนียน หนูก็ได้ทักษะการแต่งรูปมาจากคุณพ่อนี่แหละค่ะ
อยู่ในวงการคอสเพลย์มานาน มองสังคมของคอสเพลย์ไทยเทียบกับต่างประเทศ มีความต่างกันมากไหม
เทียบกับต่างประเทศแล้ว วงการคอสเพลย์ไทยนี่ซอฟต์มากๆๆ ค่ะ เป็นวงการที่เบาบางมากถ้าเทียบกับต่างประเทศ เรื่องที่เอามาเปรียบเทียบเป็นอันดับแรกได้เลยคือเรื่องการแข่งขัน ด้วยความที่คอสเพลเยอร์เมืองไทยมีน้อย การแข่งขันก็จะน้อย ไม่ดุเดือดเท่าญี่ปุ่น อาจจะมีการนินทากันลับหลัง ห้ามเข้ากลุ่มหรือห้ามคบคนนี้นะ แต่ต่างประเทศไม่ใช่แบบนี้ ตัวอย่างเช่นเลเยอร์คนหนึ่งขายชุดคอสเพลย์แล้วไม่ยอมส่งของ เขามีการประจานขึ้นเว็บไซต์เลยนะคะ เสิร์ชชื่อคนนี้เจอแน่ๆ ว่าคุณมีวีรกรรมอย่างนี้ แต่ของไทยอาจจะแค่ด่ากันหลังไมค์ อีกอย่างคือต่างประเทศพอคนเข้าถึงคอสเพลย์ได้มากกว่ามันจะเป็นสังคมที่ใหญ่กว่า ได้รับการสนับสนุนมากกว่า การแข่งขันมากกว่า คนเรามันก็ต้องสู้เพื่อความอยู่รอด เป็นเรื่องปกติของมนุษย์อยู่แล้ว
ที่ต่างประเทศมีคนเอารูปหนูไปใช้ มีคนรู้จักแท็กรูปมาให้ดู นี่มันน้องโม่ยจังนี่ บางคนจะถามว่า อ้าว น้องเป็นคนไทยเหรอ เพียงแต่เขาไม่รู้จักชื่อจริงๆ ว่าหนูเป็นใคร จริงๆ แล้วชื่อโม่ยจังไม่ใช่ชื่อเล่นจริงๆ ของหนู มันเป็นโค้ดเนมหรือนามแฝงให้คนในวงการรับรู้ ถามว่าเป็นมายังไง ก็คือประเทศญี่ปุ่นถ้ามีคนรู้ชื่อจริงเขาจะเอาชื่อไปเสิร์ชเลยนะว่าทำงานที่ไหน อยู่ตรงไหน เขาเอาข้อมูลไปตามหากัน ที่ญี่ปุ่นถ้าไอดอลถูกเปิดเผยข้อมูลชื่อที่อยู่นี่คือต้องย้ายบ้านกันเลย แต่คนไทยใช้ชื่อจริงแล้วไง ถ้ามีปัญหาบอกสตาฟฟ์ก็จบ แต่ไอดอลญี่ปุ่นนี่ต้องย้ายบ้านหนีไปเรื่อยๆ
ยังมีอะไรที่คิดว่าอยากต่อยอดจากสิ่งที่ตัวเองทำอยู่ตอนนี้บ้าง เห็นว่าอยากไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่น
หนูคิดเรื่องเรียนต่อ มีรุ่นพี่แนะนำว่าที่ญี่ปุ่นมีโรงเรียนสายอาชีพนะ ถ้าเรามีทุน อายุถึง และภาษาได้ สามารถไปเรียนได้เลย โม่ยมองว่าเป็นเรื่องดีที่เราได้เรียนต่อและไปอยู่ในประเทศที่เป็นต้นกำเนิดคอสเพลย์ด้วย ถ้าให้พูดเปรียบเทียบกับไทย ไทยการคอสเพลย์อาจจะไม่บูมมาก คนเข้าถึงไม่มาก อาจจะเพราะประเทศเราไม่ใช่ต้นกำเนิดของตัวการ์ตูนที่เราแต่งกัน การสนับสนุนจะไม่เยอะเท่ากับประเทศต้นกำเนิด อย่างของไทยคอสเพลเยอร์บางคนมาเดินงานเขาไม่ได้เงินนะคะ แต่ที่ญี่ปุ่นการออกมาเดินงานคอสเพลย์ครั้งหนึ่งแล้วมีคนสนใจ มันคือการสร้างคอนเน็กชั่นให้เขา และที่ญี่ปุ่นเขาจะมีเอเจนซี่จ้างมาทำงานหรือหางานให้ แต่ในไทยไม่มี ที่ญี่ปุ่นสินค้าใดๆ ก็ตามถ้ามีตัวการ์ตูน มีคาแร็กเตอร์เขาจะจ้างคอสเพลเยอร์มาโปรโมต และคอสเพลเยอร์เป็นสิ่งที่สำคัญมาก พูดตรงๆ เลยนะ โม่ยอยู่ทั้งวงการคอสเพลย์และถ่ายแบบเซ็กซี่ คนจะถามว่าคอสเพลย์ไปเดินงานทำไม คอสเพลย์เป็นยังไงเหรอ คือการแต่งตัวเป็นตัวการ์ตูนใช่ไหม ทุกคนแทบจะไม่รู้ว่าคอสเพลย์เป็นอาชีพที่ต่อยอดสร้างรายได้ได้ ถือว่าเป็นข้อเสียอย่างหนึ่ง และคนคอสเพลย์ในไทยก็ไม่ได้เยอะมากพอที่จะได้รับการสนับสนุน โม่ยเลยตัดสินใจว่าจะลองไปสู้ที่ญี่ปุ่นดู คนอาจจะบอกว่า เฮ้ยย เธอเป็นไม่ได้หรอก อย่าไปเลย โม่ยก็จะบอกว่าทำไมฉันต้องฟังคุณ ฉันอยากทำ ถ้าฉันทำไม่ได้ก็อยู่ที่ตัวฉัน คือถ้าหนูไม่ยอมแพ้หนูก็จะไปต่อเรื่อยๆ แต่ถ้าหนูยอมแพ้ หนูก็จะอยู่แค่เมืองไทยไม่ได้ไปญี่ปุ่น