มนตร์ลดา พงษ์พานิช : จากสาวปาร์ตี้ สู่วิถีเจ้าแม่แฟชั่น

จากเด็กสาวผู้ไม่ใส่ใจการเรียน ใช้ชีวิตสุดเหวี่ยงอยู่บนฟลอร์เต้นรำของงานปาร์ตี้สุดหรู จนได้รับฉายา ‘เจ้าแม่ปาร์ตี้’ — ในวันนี้ แม้ร่องรอยชีวิตสีสันฉูดฉาดจะยังฉายภาพชัดอยู่ในตัวเธอแทบทุกอณู แต่การเลือกยึดมั่น ทำงานอย่างจริงจัง ด้วยการสร้างแบรนด์แฟชั่นเสื้อผ้าอย่าง ‘Monlada’ ขึ้นมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง “ดวง-มนตร์ลดา พงษ์พานิช” ก็กลับลบภาพสาวสังคมนักเที่ยว ซึ่งใครหลายคนเคยค่อนขอดออกไปได้อย่างสิ้นเชิง

4 ปีแล้วที่เธอทุ่มเทสุดตัวให้กับโลกแห่งแฟชั่นที่เธอรัก ออกแบบเสื้อผ้าสุดเก๋ ด้วยหวังว่า มันจะไปอวดโฉมอยู่บนร่างกายของชายหนุ่ม-หญิงสาวจำนวนมากทั้งในไทยและระดับโลกได้อย่างไม่เคอะเขิน

วันนี้ mars ได้เชิญเธอมาถ่ายแฟชั่นขึ้นปก ขออนุญาตเปลี่ยนลุคดีไซเนอร์สาวสุดมั่น ให้มาทำหน้าที่เป็นนางแบบเสียเอง ด้วยอยากรู้ว่า ผู้อยู่เบื้องหลังการเนรมิตเสื้อผ้า ซึ่งเป็นตัวช่วยขับภาพความงามของนางแบบ-นายแบบให้เจิดจรัสออกมานั้น เมื่อมาอยู่เบื้องหน้าจะมีลีลาเฉียบขาดขนาดไหน

“รู้สึกดีใจมาก เพราะจริงๆ ดวงก็ไม่ใช่มืออาชีพด้วย ไม่ใช่ดารา ไม่คิดว่าจะได้ขึ้นปก”….

อะไรคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้เด็กคนหนึ่งที่ไม่ค่อยตั้งใจเรียนและชอบปาร์ตี้ หันกลับมาเอาการเอางาน
คือตอนช่วงคุณพ่อเสียดวงเฟลไปเลย ค่อนข้างตกใจ เพราะคุณพ่อดวงเป็นคนดุมาก ดวงก็จะหลุดไปช่วงหนึ่ง ตอนนั้นดวงกลับมานั่งคิดว่า ทำไมเราเป็นเด็กเลวอย่างนี้ พ่อเสียทำไมไม่นั่งอยู่กับแม่ ดันไปตักตวงความสุข คือทำเป็นเศร้าน่ะ แต่ก็คือเศร้าจริงๆ นะ แต่เพิ่งคิดได้ไงว่าทำไมเราไม่มาช่วยคุณแม่ กลับมาสงสารคุณแม่ดีกว่าไหม ดวงก็เลยคิดว่า ดวงต้องหาอะไรทำสักอย่างหนึ่ง

ตอนคุณพ่อเสีย เสียใจมาก เพราะดวงเป็นลูกรัก ทั้งดวง ทั้งพี่เด็ด (พ.ต.ท. วัชริชศร์ พงษ์พานิช) จะมีพี่น้องแค่สองคน คือดวงไม่ได้กลับมาดูใจท่าน เพราะท่านบอกดวงว่าให้กลับไปเรียนต่อให้จบ เพราะอีกสามเดือนก็จะจบแล้ว พอบินไปได้หนึ่งอาทิตย์ คุณพ่อก็เสียเลย กลับมาอีกทีก็คือเห็นแต่ศพ

แล้วทำไมถึงคิดที่จะเริ่มต้นกับการทำแบรนด์แฟชั่น
ในเรื่องของแฟชั่น ดวงสนใจอะไรแบบนี้อยู่แล้ว แต่ตอนนั้นอาจจะยังไม่รู้ตัว คือชอบอาร์ตตั้งแต่เด็กนะ ตอนสมัยเรียนก็อยากเปลี่ยนสาขาจากธุรกิจมาเป็นอาร์ต แต่แม่ไม่ยอม แม่ก็บอกว่าให้เรียนธุรกิจให้จบก่อน แล้วอยากจะทำอะไรก็ทำ พอเรียนจบ กลับมาเมืองไทย ก็มาเปิดร้านเฟอร์นิเจอร์นำเข้า เปิดได้สักพักนึงก็ได้คลุกคลีกับวงการแฟชั่นทุกอย่าง ทั้งสไตลิ่ง มีเพื่อนเป็นดีไซเนอร์ คลุกคลีกับช่างแต่งหน้า แล้วดวงเองก็ชอบแต่งตัว ดวงเองก็คิดในใจว่าจะเป็นอะไรดีนะ ตอนนั้นอายุ 27 แล้ว เริ่มได้ถ่ายรูปขึ้นปก เอ๊ะ หรือจะเป็นนักร้อง เป็นนักร้องก็ต้องไปฝึกร้องเพลง อยากดัง (หัวเราะ) เอ๊ะ หรือจะเป็นพิธีกร ตอนนั้นก่อนจะไปเรียนแฟชั่น ดวงก็เป็นพิธีกรอยู่นะ แล้วก็ไปฝึกร้องเพลงจะไปเป็นนักร้อง คิดไปมาว่า เฮ้ย เราอายุ 27 แล้ว มันจะแก่ไปหรือเปล่า คือทุกคนก็เริ่มค้นหาตัวเองตั้งแต่เด็ก เด็กวัยรุ่นสมัยนี้เขาร้องเพลงตั้งแต่อายุ 18 ถ้ามีเด็ก 18 ขึ้นมา เราจะสู้เขาไหวไหมเนี่ย (หัวเราะ)

ดวงก็เลยคิดในใจว่า ตอนนั้นดวงชอบแฟชั่น ดวงเป็นเด็กชอบอาร์ตอยู่แล้ว เราสร้างสรรค์ผลงานจากการเป็น behind the scene ดีกว่าไหม พออายุมาก พอเราเริ่มแก่สักห้าสิบหกสิบ ดวงก็ยังสามารถจะทำงานตรงนี้ได้อยู่ ดวงเองคิดว่าเราอยากทำงานไปตลอดชีวิต ดวงไม่อยากหยุด และดวงจะไม่หยุด เพราะการหยุดทำงานมันจะเหมือนทำให้ชีวิตเรามันตายไปแล้ว ก็เลยไปเทกคอร์สเข้าเรียนที่ Saint Martins (Central Saint Martins College of Art and Design)

จากจุดนั้นก็เหมือนเป็นการสร้างสมประสบการณ์ ทำให้เราเรียนรู้วงการแฟชั่นในแง่มุมที่หลากหลายมากขึ้น
ใช่ๆ มันเป็นประสบการณ์ และดวงคิดว่าเป็นสิ่งที่ดี คือมันได้เรียนรู้ และเข้าใจความรู้สึกว่า การที่เขาพูดจาแบบนั้นกับเรามันไม่ดี เราไม่ใช่หมูใช่หมานะ อยู่ดีๆ มาชี้นิ้วด่าแบบนั้น ถ้าเกิดเรามีบริษัทของตัวเอง ได้ทำงาน เราก็ไม่ควรพูดจาแบบนั้นกับคนอื่น เราต้องให้เกียรติคนทุกคนที่มาทำงานด้วย ไม่ใช่อยู่ดีๆ ไปชี้นิ้วด่าเขา หรือใช้งานเขาเหมือนหมูเหมือนหมา

เรียกได้ว่า นอกจากเรื่องของธุรกิจแฟชั่นแล้ว มันก็ทำให้เราเรียนรู้ชีวิตด้วย
ใช่ เรียนรู้ทุกอย่าง การบริหารงานมันยากที่สุดนะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของคน เรื่องของจิตใจคน ความรู้สึกของคน เพราะว่าการที่เราชนะใจคนได้ มันก็คือสิ่งที่จะขับเคลื่อนให้งานเดินไปข้างหน้า ไม่ว่าเราจะทำงานเก่งขนาดไหนก็ตาม แต่ถ้าเราไม่สามารถชนะใจคนรอบข้างได้ เขาก็ไม่อยากทำงานให้เรา พอเขาไม่อยากทำงานให้เรา งานเราก็ต้องจบไปโดยที่มันไม่เต็มที่ ดวงคิดว่ามันสำคัญมาก

มองย้อนกลับไป ณ จุดนี้ การที่เราเพิ่งมาค้นหาตัวเองเจอตอนเลยวัย 27 ไปแล้ว คิดว่าเสียเวลาไปมากไหม
ดวงคิดว่าไม่เสียเวลา เพราะมันย้อนอดีตกลับไปไม่ได้แล้ว และดวงก็ไม่เสียใจด้วย เพราะมันไม่สามารถเอาอดีตกลับมาได้ ดวงกลับคิดว่าตรงนั้นเป็นประสบการณ์มากกว่า การที่เราได้เรียนรู้อะไรบางอย่างในชีวิต สมมุติว่าถ้าตอนนั้นดวงไม่เป็นแบบนั้น วันนี้ดวงอาจจะไม่เป็นแบบนี้ก็ได้ มันเป็นเหมือนกับสิ่งที่เราไม่สามารถกลับไปแก้ไขได้แล้ว สิ่งที่ดวงสามารถทำได้ตอนนี้คือเป็นคนดี และพยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุด ความผิดพลาดนั่นคือประสบการณ์ และดวงคิดว่ามันไม่ใช่สิ่งเลวร้ายอะไรเลย การที่เรามีแผลเป็น มันดีด้วยซ้ำไป เพราะมันจะทำให้เราจำได้ว่า เราเคยเจ็บมาแบบไหน






หมายเหตุ : อ่านบทสัมภาษณ์และชมภาพแฟชั่นสุดสวยและเซ็กซี่ของเธอแบบเต็มอิ่มได้ในนิตยาร mars ฉบับเดือนพฤศจิกายน

user's Blog!

49/1 ชั้น 4 อาคารบ้านเจ้าพระยา ถนนพระอาทิตย์ แขวงชนะสงคราม เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200

49/1 4th floor, Phra-A-Thit Road, Chanasongkhram,Phanakorn Bangkok 10200

Tel. 02 629 2211 #2256 #2226

Email : mars.magazine@gmail.com

FOLLOW US ON

SUBSCRIBE