'พานแว่นฟ้า ต้องปลอดสัตว์การเมือง!' : วิมล ไทรนิ่มนวล

อนุสนธิจากสงครามกวีที่เดือดระอุปะทุกร้าว บาดร้าวไปทั้งแวดวงวรรณกรรมไทย ภายหลังคำตัดสินของคณะกรรมการรางวัลพานแว่นฟ้าแห่งรัฐสภาไทย หรือ “พานแว่นฟ้า” ตัดสินให้บทกวีที่ผิดกฎได้รับรางวัลชนะเลิศ เสียงวิพากษ์วิจารณ์ กลายเป็นการถกเถียงอย่างออกรส ก่อนจะขยับบท สู่การบดบี้กันด้วยวาทกรรมเผ็ดร้อน ฝ่ายหนึ่งซึ่งก็คือกรรมการ ก็กล่าวอ้างเหตุผลความชอบธรรมตามหลักการของตน ส่วนอีกฝ่ายก็ย้อนแย้งด้วยเรื่องพื้นฐานคือกติกา ที่ควรจะเป็น

แน่นอนว่า ท่ามกลางฝุ่นตลบของสงครามกวีนั้น ชื่อของนักคิดนักเขียนคนหนึ่งก็อยู่ในรายนามของผู้ที่ออกมาเคลื่อนไหวให้ความคิดเห็นอย่างต่อเนื่อง “วิมล ไทรนิ่มนวล” ผู้เคยได้รับรางวัลซีไรต์จากผลงานนวนิยายเรื่อง “อมตะ”

ในฐานะผู้หลักผู้ใหญ่ และนักประพันธุ์รุ่นใหญ่ “วิมล ไทรนิ่มนวล” ได้แสดงทัศนะต่อสถานการณ์ดังกล่าวมาแล้วในหลายวาระผ่านสเตตัสบทเฟซบุ๊ก กระนั้นก็ดี เนื่องจากท่าทีของสงครามที่ดูเหมือนจะไม่จบลงง่ายๆ และตอนนี้ก็เหมือนจะบานปลายสู่ความแตกแยกอย่างยากจะประสาน เราจึงมิอาจละวางสายตาจากสงครามนี้ได้เช่นกัน ในวันที่วิมล ไทรนิ่มนวล ถูก “มือที่มองไม่เห็น” งัดวิชามารขึ้นมาเล่นงาน เราขอความเห็นจากเขา เกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น โดยมุ่งประเด็นที่เรื่องราวนี้ มันสื่อสะท้อนให้เห็นสิ่งใดบ้างในสังคมของเรา

มองต้นไม้ต้นเดียว อาจไม่เห็นอะไรเด่นชัด เท่ากับกวาดสายตามองป่าทั้งป่า และบางที มันอาจจะทำให้เราได้เห็นว่า สรรพสิ่งล้วนสัมพันธ์ ไม่เว้นกระทั่งศิลปะวรรณกรรม กับการเมือง…

• กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด เกี่ยวกับรางวัลพานแว่นฟ้าปีนี้ ภาพโดยรวมในมุมมองของคุณวิมล มีความคิดเห็นว่าอย่างไรบ้าง
ถ้ามองที่ปรากฏการณ์ก็คือ มันผิดปรกติ และลุกลามกลายเป็นวิปริตไปแล้ว เมื่อกรรมการหลายคนออกมาตอบโต้อย่างไร้เหตุผล บางคนก็ป่าเถื่อน ปีนี้ รางวัลพานแว่นฟ้าโดนคัดค้านต่อต้านอย่างมาก ซึ่งก็หมายถึงตัวกรรมการนั่นแหละ ผมขอพูดถึงเหตุแรกๆ ที่รางวัลพานแว่นฟ้าตกต่ำ ซึ่งส่งผลมาจนถึงวันนี้ ก็คือ มีปัญหาหลายเรื่องเกิดขึ้นต่อเนื่องกันมาจนถึงวันนี้ ซึ่งก็ยังไม่จบ

เรื่องแรก…มีการทะเลาะกันในคณะกรรมการ กรรมการกลุ่มแดงมักจะพูดจาดูถูกเหยียดหยามกรรมการจากสมาคมนักเขียนฯ และบางคนที่ไม่ใช่พวกแดง ว่าเป็นพวกเผด็จการ เป็นพวกนิยมรัฐประหาร อย่าง “เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์” เป็นต้น เพราะท่านเคยไปขึ้นเวทีของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

เรื่องที่สอง มีการเสนอเพิ่มราคาของรางวัลนี้ถึงสองครั้ง โดยกลุ่มแดง ครั้งแรกเสนอรางวัล รางวัลละหนึ่งล้านสองแสนบาท ตามคำยืนยันของเจน สงสมพันธุ์ ผู้เป็นนายกสมาคมนักเขียนฯ ครั้งที่สอง เสนอลดราคาลงมา มีหลักฐานยืนยันที่เป็นเอกสารของ “วาด รวี” ผู้เสนอและเป็นหนึ่งในคณะกรรมกรด้วย ในที่สุดเรื่องนี้ก็มีมติที่รางวัลละหนึ่งแสนบาท เรื่องที่สาม มีการแตกหักระหว่างกรรมการกลุ่มแดงกับกรรมการจากสมาคมนักเขียนฯ ด้วยความเห็นเรื่องราคาของรางวัลดังกล่าว และเรื่องการแก้ไขกติกา

จุดแตกหัก ก็คือกรรมการกลุ่มแดงกล่าวหาว่า กรรมการจากสมาคมนักเขียนฯ สมคบคิดกับผม โดยให้ข้อมูลผมนำไปเขียนบทความในเฟซบุ๊ค เพื่อโจมตีพวกเขา ทั้งที่ผมไม่เคยติดต่อกับใครมาสิบปีแล้ว สุดท้าย กรรมการจากสมาคมนักเขียนก็วอล์คเอาต์ กรรมการคนหนึ่งบอกผมว่า ขณะที่กรรมการจากสมาคมนักเขียนฯ เดินออกจากห้องประชุม ก็มีหัวโจกกลุ่มแดงตะโกนด่าไล่หลังว่า “ไปเลยไอ้พวกเหี้ย ไอ้พวกไร้เกียรติ ไอ้พวกเผด็จการ” ต่อมาก็มีกรรมการคณะใหม่เข้ามาแทน ผมเห็นรายชื่อเมื่อสองวันก่อน เมื่อคนลิงก์ไปให้ดู ก็เห็นว่ามีหลายคนที่มีความคิดแบบแดง จะเป็นแดงลิเบอรัล หรือแดงแบบคอมมิวนิสต์ผมไม่ทราบ แต่ที่ทราบก็คือ กรรมการแทบทุกคนมีมติให้ละเมิดกติกา และมีมติให้รางวัลแก่งานเขียนแดง โดยนักเขียนแดง มันจึงเป็นปัญหาอย่างที่ไม่ควรจะมากขนาดนี้

นั่นเป็นเพราะกรรมการจะเอาให้ได้อย่างใจตัว โดยไม่คำนึงถึงกติกา อ้างแต่มติของพวกตน มันจึงส่งผลให้รางวัลพานแว่นฟ้าในปีนี้ตกต่ำอย่างคาดไม่ถึง สูญเสียเกียรติภูมิทั้งตัวรางวัล ตัวกรรมการ และเจ้าภาพคือรัฐสภา แต่คนทั่วไปหรือแม้แต่กรรมการหลายคนอาจจะไม่คิดเช่นนั้น พวกเขาอาจจะคิดว่านี่คือก้าวแรกของการยึดพื้นที่ทางการเมืองโดยรางวัลและวรรณกรรม

• คุณวิมลคิดว่า “คำตัดสิน” รางวัลพานแว่นฟ้า ตลอดจนเหตุผลต่างๆ นานาที่คณะกรรมการสรรหามาอธิบายนั้น มันสะท้อนให้เห็นถึงสิ่งใด
มันสะท้อนว่าพวกเขามีธงแดงอยู่ในใจ หรือมีเป้าหมายไว้แล้วว่าจะให้งานฝ่ายแดงได้รางวัล อย่างที่ผมเคยเขียนดักคอไว้ในบทความ “นักเขียนแดงเตรียมรวย” พองานที่ได้รับรางวัลปรากฏออกมาก็เห็นได้แจ่มแจ้งว่าพวกกรรมการคิดอะไรในเรื่องการเมือง โดยดูได้จากเนื้อหาของงานเขียนนั้น เพราะการมีธงอยู่ในใจ จึงเป็นเหตุให้ต้องละเมิดกติกา ด้วยข้ออ้างสารพัด แต่ไม่เคยตรงประเด็น ฟังแล้วยังอายแทน

ผมเห็นว่าการ แถ แถก ตะแบง บิดเบนประเด็น ไม่ควรจะเกิดขึ้นกับคนที่เป็นกรรมการ เพราะกรรมการย่อมต้องมีคุณวุฒิและมีวุฒิภาวะ ประการสำคัญมันไม่ควรจะละเมิดกติกามาแต่ต้น พวกกรรมการนี่แหละ คือต้นเหตุที่พานแว่นฟ้าตกต่ำอย่างที่สุด แม้ว่าราคาของรางวัลสูงขึ้นก็ตาม ผมจึงเห็นว่ามันเป็นเรื่องอัปยศของกรรมการคณะนี้

• ทุกคนที่ไม่เห็นด้วยกับคำตัดสิน ล้วนพุ่งเป้าไปที่ “กติกา” ตรงนี้ ขอทัศนะของคุณวิมลเกี่ยวกับเรื่อง “กติกา” และแม้จะเป็นเรื่องที่พูดไปแล้ว ก็อยากจะให้คุณวิมลเพิ่มเสริมด้วยครับว่า กติกาสำคัญเพียงไหน
กติกาก็คือ กฎหรือระเบียบ มันมีไว้สำหรับเป็นกรอบและเกณฑ์ในการตัดสินการแข่งขันทุกชนิด ตัวอย่างที่เห็นง่ายๆ ก็คือกีฬาประเภทต่างๆ หรือแม้แต่การอยู่ร่วมกันในครอบครัว และในสังคมก็ต้องมีกฎหมาย ซึ่งก็คือกติกานั่นแหละ ถ้าไม่มีกฎ ไม่มีกติกา ทุกคนก็จะทำตามใจตัว ใครเก่งใครได้ ใครใหญ่ใครคุม มันก็จะเป็นปัญหา แล้วพัฒนามาสู่ความวุ่นวายขัดแย้ง ถ้าเป็นเรื่องระดับสังคมก็อาจจะเกิดสภาพจลาจล หรือเป็นอนาธิปไตยได้ง่ายๆ

เรื่องการแข่งขันทางวรรณกรรมก็เช่นกัน ก็ต้องมีกฎ กติกา แล้วรางวัลนี้ก็มีกติกามาตั้งแต่สถาปนารางวัลนี้ขึ้นมาแล้ว แต่พอกลุ่มแดงเข้ามาเป็นกรรมการ จะด้วยเส้นสายของใครก็ตาม ก็ควรจะต้องเคารพกติกา ผมเห็นด้วยกับเจน สงสมพันธุ์ว่า นายกฯ สมาคมนักเขียนฯ ที่ว่า กรรมการที่ได้รับเชิญมานั้น เขาเชิญให้มาทำหน้าที่พิจารณาตัววรรณกรรมและตัดสินให้รางวัล ไม่ใช่เข้ามาแก้กติกา การแก้กติกานั้นควรเป็นหน้าที่ของกรรมการคณะอื่น แต่ถ้ากลุ่มแดงจะแก้เอง ก็ต้องไม่ให้มีผลต่อกติกาที่กำลังยังใช้อยู่ในปัจจุบัน หมายความว่าถ้าจะแก้ก็ได้ แต่ต้องมีมติแก้เสียก่อน และแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดำเนินการเรื่องกติกาโดยเฉพาะ จะโดยกลุ่มแดงก็ได้ แต่ไม่ใช่ถืออำนาจละเมิดแบบลัดขั้นตอนในขณะที่กำลังมีการประกวดอยู่ การพิจารณาตัดสินให้รางวัลในวาระนี้ต้องใช้กติกาในปัจจุบันไปก่อน ครั้งหน้าถ้ามีมติว่าจะแก้ก็ใช้กติกาใหม่ได้ และต้องประกาศให้สาธารณชนรับรู้ โดยเฉพาะนักเขียนที่จะส่งงานเข้าประกวดนั้นเขาต้องรู้ล่วงหน้า

เมื่อละเมิดกติกาก็ย่อมมีการคัดค้าน- ต่อต้าน แต่สิ่งที่กรรมการทำก็คือ กรรมการส่วนมากเงียบ มีกรรมการกลุ่มแดงที่เป็นหัวโจกออกมาตอบโต้ แก้ตัว ด่ากลับ โจมตีด้วยเรื่องเล็กเรื่องน้อยตามสันดานอันธพาล อย่างที่เรียกว่า แถ แถก ตะแบง เช่น บอกว่าการพิจารณาให้รางวัลไม่ได้มองในกรอบของภาษาไทย แต่มองในกรอบของกวี เมื่อโดนตอบโต้ว่า นี่ไม่ใช่กรอบภาษาไทยหรือกรอบของกวี แต่เป็นกรอบคณิตศาสตร์ คือ กติกาเขียนไว้ว่ากลอนฉันทลักษณ์ให้มีความยาวระหว่าง 6-12 บท ตัวเลขมันก็ชัดเจนอยู่แล้ว ส่วนกลอนไร้ฉันทลักษณ์หรือกลอนเปล่าไม่เกินสองหน้า อันนี้เลี่ยงได้ ยาวมากก็ใช้ชนิดและขนาดของตัวอักษรช่วย แต่มันก็เป็นเรื่องตัวเลขอยู่ดี พวกเขาก็ตะแบงต่อไปอีก สุดท้ายกรรมการคนหนึ่งบอกว่า กลอนที่ชื่อ เบี้ย ไม่ใช่กลอนฉันทลักษณ์…ผมว่าคนที่ได้รับเกียรติเป็นถึงกรรมการไม่ควรตวัดลิ้นเหมือนมีสองแฉกได้ง่ายดายอย่างนั้น มันยิ่งทำให้เห็นว่าพวกเขาบางคนไม่มีวุฒิภาวะ และไม่มีคุณสมบัติใดๆ ที่จะเป็นกรรมการ

• จากเรื่องพานแว่นฟ้า กวาดสายตามองกว้างออกไปในสังคม-การเมือง มันมีความเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกันในแง่มุมไหนได้บ้าง
เรื่องนี้เป็นเรื่องการเมืองแน่นอน รางวัลพานแว่นฟ้านั้นมีเจตนาหรือกติกาว่าเป็นรางวัลสำหรับงานเขียนเรื่องการเมือง หรือเกี่ยวกับการเมือง แต่ไม่ใช่ให้ใครเข้าไปทำเป็นเรื่องการเมือง หรือเอารางวัลและงานเขียนมาเป็นเครื่องมือทางการเมือง อย่างที่กรรมการคณะนี้ได้ทำไปแล้ว แต่พวกเขาทำก็เพราะเขาเป็นนักการเมืองอีกประเภทหนึ่ง หลายคนเคยเข้าป่า เมื่อออกจากป่าก็ทำมาหากิน มีครอบครัวกันตามปรกติของวิถีชีวิตคนธรรมดา แต่พอกระแสเสื้อแดงขึ้นสูง คนกลุ่มนี้ก็ออกมาแสดงบทบาททางการเมืองอีกครั้ง แต่ผมไม่ทราบว่าพวกเขายังยึดเอาลัทธิสังคมนิยมหรือลัทธิคอมมิวนิสต์เป็นสรณะอยู่หรือไม่ รวมทั้งแดงในเมืองที่คิดว่าตัวเองเป็นลิเบอรัลด้วย

พวกกรรมการแดงนั้นมีเป้าหมายอยู่แล้วว่าจะใช้รางวัลนี้เป็นเครื่องมือ หรือเป็นอาวุธก็ตาม ในการทำสงครามแย่งชิงพื้นที่เพื่อสนองลัทธิการเมืองอย่างที่พวกเขาต้องการ เพราะวรรณกรรมนั้นหากเขียนได้ถึง และใช้ได้ถูกกาลเทศะและอารมณ์ของสังคมแล้วมันจะมีพลังมาก ดังนั้น พวกเขาจึงทำทุกอย่างเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของพวกตน แม้กระทั่งต้องละเมิดกติกา

รัฐสภาไทยนั้นใช้ภาษีของประชาชนทั้งประเทศ ดังนั้นมันจึงเป็นของประชาชนไทยทุกคน ไม่ว่าจะสีไหน มีความคิดความเชื่อแบบใด และแม้จะมีนักการเมืองชั่วๆ ทำสิ่งที่เรียกว่างานการเมืองอยู่ในสภานั้น แต่ในฐานะของสถาบันและสัญลักษณ์ของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย มันต้องไม่ถูกใช้เป็นเครื่องมือทำลายล้างอีกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นภาพใหญ่อย่างรัฐสภา หรือภาพเล็กอย่างรางวัลพานแว่นฟ้า

เมื่อรัฐสภาเป็นสมบัติของคนไทยทุกคน รางวัลพานแว่นฟ้าก็ต้องเป็นด้วย เพราะเงินทุกบาททุกสตางค์ที่จ่ายให้แก่กรรมการ เจ้าหน้าที่ และกระทั่งเงินรางวัลนั้นล้วนเป็นเงินภาษีทั้งนั้น ดังนั้น รางวัลพานแว่นฟ้าจึงต้องเป็น “พื้นที่” ที่ปลอดจากสัตว์การเมือง หรือพวกบ้าลัทธิการเมือง แต่เป็น “พื้นที่” ของมนุษยธรรม ที่มีเป้าหมายจะยกระดับจิตวิญญาณของมนุษย์ขึ้นสู่ความเป็นอารยะ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
มหากาพย์ 'พาลแว่นแดง' : เกียรติยศอัปยศ แห่งโลกวรรณกรรม!?!

user's Blog!

49/1 ชั้น 4 อาคารบ้านเจ้าพระยา ถนนพระอาทิตย์ แขวงชนะสงคราม เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200

49/1 4th floor, Phra-A-Thit Road, Chanasongkhram,Phanakorn Bangkok 10200

Tel. 02 629 2211 #2256 #2226

Email : mars.magazine@gmail.com

FOLLOW US ON

SUBSCRIBE