การกลับมาแบบร้อนฉ่าของสาวน้อยในวันวาน 'เจมี่ บูเฮอร์'


หลังหายหน้าจากวงการไปพักใหญ่ 'เจมี่ บูเฮอร์' สาวน้อยที่เราคุ้นหน้าในวันวานกับภาพความน่ารักสดใส วันนี้เธอกลับมาเป็นที่พูดถึงอีกครั้งหลังจากปรากฏตัวในงาน Siamdara Star Award 2014 ด้วย ชุดกระโปรงผ่าข้างแบบล้วงลึก ชนิดที่ใครเห็นแล้วรับรองว่าต้องมีอาการหายใจติดขัด ไม่นับรวมเสื้อชิ้นบนที่หวาดเสียวไม่แพ้กัน ช่วยเพิ่มดีกรีความร้อนฉ่าให้สาวลูกครึ่งไทย-อเมริกันคนนี้เข้าไปอีก แน่นอนว่าแม้การกลับมาครั้งนี้ของเธอจะเป็นเพราะกระแสพูดถึงในด้านลบที่เธอบอกว่าไม่คาดคิดว่าจะหนักหนาจนแทบทรุด แต่ในอีกมุมหนึ่งมันก็คือเรื่อง 'มหัศจรรย์' สำหรับเธอจริงๆ

จากสาวน้อยน่ารักในวันวาน มาเป็น 'เซ็กซี่เจมี่' ได้ยังไง
จริงๆ ตอนเป็นเด็กไม่เคยทำอะไรเลย นอกจากเจาะหูแล้วไม่เคยเจ็บตัวกับเรื่องสวยๆ งามๆ แต่พอโตขึ้นโลกเริ่มเปลี่ยน การทำศัลยกรรมกลายเป็นเรื่องทันสมัย บวกกับฝีมือแพทย์และเทคโนโลยีของวัสดุที่นำมาใช้ทำออกมาแล้วดูสวยสมจริง เจมี่จึงตัดสินใจทำหน้าอก จากไซส์เดิมประมาณคัพบีมาเป็นคัพซี เพิ่มไม่เยอะแต่ด้วยรูปทรงทำให้ดูเปลี่ยนแปลงไปค่อนข้างมาก ทำแล้วก็รู้สึกชอบเลยนะ ความมั่นใจเพิ่มมากขึ้น แต่ถามว่าภาพเราเปลี่ยนไปเลยหรือเปล่าจากเมื่อก่อน ตอนเป็นเด็กเจมี่ก็เซ็กซี่นะ แต่ออกแนวเซ็กซ์แอพพีลมากกว่า แต่ตอนนี้เราเซ็กซี่ด้วยรูปลักษณ์ เซ็กซ์แอพพีลก็อาจจะน้อยลง มันเป็นการขายความเซ็กซี่กันคนละแบบ

กลายเป็นกระแสทอล์กออฟเดอะทาวน์ดังเปรี้ยงภายในข้ามคืน ชีวิตหลังจากคืนนั้นเจออะไรบ้าง
เราทำงานไปตามหน้าที่และไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะเจอกระแสหนักถึงขนาดนี้ ถ้างานคืนนั้นเกิดขึ้นเมื่อ 10 ปีที่แล้ว อาจจะเป็นเรื่องที่รับไม่ได้ แต่พอมาเป็นตอนนี้แม้มันจะค่อนข้างแรง แต่ก็ไม่ถึงกับรับไม่ได้ เพราะทุกวันนี้คนทำงานเซ็กซี่กว่านี้มีอีกเยอะ แต่ด้วยความที่เมื่อก่อนเรามีภาพอีกแบบหนึ่ง ไม่ได้หวือหวา พอมาเปลี่ยนเป็นแบบนี้คนส่วนใหญ่ก็เลยช็อก กระแสวิพากษ์วิจารณ์ด้านลบเต็มไปหมด ถามว่าช็อกไหมกับภาพที่ออกมา ยอมรับว่าค่อนข้างช็อก ไม่นึกว่าจะบานปลายขนาดนี้
ช่วงนั้นเครียดมากถึงขนาดอยากจะเอาปืนยิงหัวเลย คิดอย่างนั้นจริงๆ คนคิดว่าเจมี่สร้างกระแสขึ้นมา แฮปปี้ที่มีคนด่า แต่ไม่มีใครรู้ว่าเราเครียดมาก ไม่รู้ว่าตัวเองผ่านเหตุการณ์นั้นมาได้ยังไงด้วย จำได้แต่ว่านอนจมอยู่กับตัวเองคนเดียว สองวันแรกนี่ทรุด ทำอะไรไม่ได้ เหมือนกับว่าตอนนั้นเรากำลังช็อก จนเข้าวันที่สามที่สี่ถึงเริ่มดีขึ้น ฮึดตัวเองขึ้นมาได้

ครอบครัวและคนรอบข้างเป็นยังไงบ้าง
ครอบครัวไม่ได้มาซ้ำเติมอะไรเรา เขาอาจจะรู้สึกว่าลำพังแค่กระแสที่เจมี่โดนก็หนักพออยู่แล้ว บวกกับที่เราก็โตเป็นผู้ใหญ่เขาก็ค่อนข้างให้พื้นที่กับเรา แต่มีส่งข้อความมาถามว่าทำไมเรื่องถึงเป็นแบบนี้ได้ ส่วนแฟนเจมี่ก็มีบ่นๆ บ้าง มีแสดงปฏิกิริยาให้รู้ว่าเขาไม่ชอบ ทำไมภาพถึงออกมาขนาดนี้ แต่เขาไม่หึงนะ ด้วยความที่เจมี่เป็นตัวของตัวเองมาก ไม่ได้ใช้ชีวิตขึ้นอยู่กับใคร แฟนก็จะรู้ว่าพูดเรื่องไหนกับเราได้บ้าง

ช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมาเปลี่ยนมุมมองในชีวิตของเจมี่ไปบ้างไหม
ถ้าพูดตรงๆ เมื่อก่อนเจมี่จะเป็นคนโลกสวย ทุกอย่างต้องถูกต้อง คนทั้งโลกต้องรักฉัน ต้องชอบฉัน จะทุกข์มากเลยถ้ามีคนมาตำหนิหรือด่า แต่เหตุการณ์ที่ผ่านมันเปลี่ยนความคิดเจมี่ไปเยอะเลย ทำให้เรารู้สึกว่าต้องทำใจใหม่ บางทีอ่านคอมเมนต์ที่เขาพูดถึงเราแรงๆ นี่ขำเลย คิดกันได้ไง คือเขาด่าเราได้ถึงพริกถึงขิงมาก เคยพยายามปรับตัวให้เขาพอใจ แต่งตัวเรียบร้อยใส่สร้อยมุก ปรากฏว่าก็ยังมีคนเข้าไปคอมเมนต์ถามว่า “เราเป็นอะไรมากหรือเปล่า แต่งตัวเรียบร้อยแบบนี้ งงกับเธอมากเลย” จนสุดท้ายเราก็คิดได้ว่าต่อให้พยายามปรับตัวแค่ไหน คนก็ด่าอยู่ดีถ้าเขาไม่ชอบเรา แล้วทำไมต้องไปไหวตามหรือแคร์เขาเยอะขนาดนั้นด้วย

เหตุการณ์คืนนั้นทำให้จำนวนคนที่ฟอลโลว์ในอินสตาแกรมเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว?
จาก 3 หมื่นขึ้นมาเป็น 6 หมื่น แต่จริงๆ จำนวนคนที่ฟอลโลว์เราในอินสตาแกรมมันวัดชื่อเสียงอะไรเราไม่ได้หรอก อย่าลืมว่าคนกรุงเทพฯ คือคนส่วนน้อยของประเทศ แต่คนส่วนใหญ่กลับไปโฟกัสแต่คนในกรุงเทพฯ ซึ่งมีอินสตาแกรม เวลาเจมี่ไปโชว์ตัวตามต่างจังหวัดรู้สึกถึงความแตกต่างเลย คนเข้ามาดูเราเยอะขึ้น พ่อค้าแม่ค้าเวลาเจอเรานี่กลายเป็นเข้ามาเฮฮา ตอนแรกก็กลัว เพราะในโซเชียลเขาด่าเราแรงมาก เวลาจะออกจากบ้านทีต้องต่อผมยาว ใส่แว่นตา เพราะกลัวคนจะเข้ามาหาเราแบบแรงๆ แต่กลายเป็นว่าเวลาออกไปข้างนอกเขาดีกับเราทุกคน เข้ามากอด ขอถ่ายรูป เลยงงว่าหรือเขาด่าเราแค่ในโซเชียล ตอนเจอหน้าก็เข้ามากอด แต่พอกลับบ้านไปนั่งพิมพ์ด่าเราหรือเปล่า (หัวเราะ)

คนเราจะกล้ามากขึ้นหรือเปล่าถ้าอยู่ในโลกโซเชียล
เจมี่มองว่าโลกของโซเชียลเป็นโลกของทัศนคติที่แท้จริงล้วนๆ นะ เวลาเราเจอกันข้างนอก มันจะเป็นเรื่องของมารยาททางสังคม คนคงไม่กล้าเข้ามาด่าหรือตบหน้าเราหรอก เขาก็ต้องดีกับเรา แต่เบื้องลึกในหัวใจเขาจะเป็นอย่างไรไม่มีใครรู้ เจมี่เลยรู้สึกว่าโลกของโซเชียลคือที่ปลดปล่อยด้านมืด มีเรื่องเซ็กซ์ ความโกรธ ความเกลียดกัน คนด่ากันเต็มไปหมด แต่ถ้ามองในแง่ดี คนที่เข้ามาคอมเมนต์ด่าเรา แสดงว่าเขาต้องมาตามดูอินสตาแกรมเราทุกวันนะ จากที่เมื่อก่อนเขาอาจจะไม่คิดอยากจะเข้ามาดูชีวิตเราเลยก็ได้

ผู้ใหญ่บ้านเรามักพูดว่าดาราแต่งตัวโป๊คือตัวอย่างที่ไม่ดีของเยาวชนที่เป็นอนาคตของชาติ คิดว่าเป็นคำพูดที่ดูถูกสติปัญญาเด็กเกินไปไหม
พูดกันตรงๆ ยอมรับว่าทุกวันนี้ดาราเป็นตัวอย่างของคนมากจริงๆ แต่ถ้ามองในแง่ของธุรกิจภาพลักษณ์เซ็กซี่มันก็เป็นสิ่งจำเป็นเพราะมันขายได้ แล้วบังเอิญว่าเจมี่จับฉลากได้ภาพลักษณ์แบบนี้ซึ่งมันเหมาะกับตัวเราและคาแร็กเตอร์ในการทำงาน แต่ถ้ามองในแง่ของการเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้กับเยาวชน เจมี่รู้สึกว่ามันขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นด้วย อย่างอั้ม พัชราภา เขามีภาพลักษณ์เซ็กซี่ แต่เขามีนิสัยใจคอและพฤติกรรมอีกแบบหนึ่ง เด็กๆ ที่ชอบอั้มเขาก็จะไม่ก๊อบปี้แค่ภาพลักษณ์หรอก แต่เขาจะก๊อบปี้ทุกอย่างเลย เพราะฉะนั้นดาราคนไหนที่เซ็กซี่ก็ต้องแน่ใจว่ามีอะไรดีในตัวให้คนเขาทำตามด้วย

แล้วเจมี่มีข้อดีอะไรบ้างบอกได้ไหม
เจมี่คงไม่มานั่งอวยตัวเองหรอก (หัวเราะ) คงไม่มานั่งบอกว่าเฮ้ยฉันดีอย่างนั้นอย่างนี้ อายปากตัวเอง คนที่เขารักเราก็จะมาสืบเสาะกันเองแหละว่าเราทำอะไรบ้าง แล้วถ้าชอบก็จะทำตาม เจมี่ว่าเด็กๆ เยาวชนเขาคิดกันแบบนี้นะ

พูดง่ายๆ คือภาพลักษณ์เซ็กซี่มันคือการทำงาน ความเป็นมืออาชีพ เจมี่มองแบบนั้น?
มันเป็นงานของดาราที่จะต้องแต่งตัวแบบนั้น เป็นคาแร็กเตอร์ที่ต้องทำ แล้วอยากให้เข้าใจว่าเวลาดาราจะทำอะไรมันจะต้องดูเว่อร์กว่าคนธรรมดาอีกสเต็ปหนึ่งเพื่อให้เป็นสีสันของงานที่ไป ถามว่าดาราแต่งตัวโป๊ไปสถานที่แบบไหน แต่งไปเดินคลองถมก็คงไม่ใช่ แล้วเวลาอยู่ในงานก็จะมีทีมงานที่เป็นมืออาชีพคอยดูแลหรือช่วยเหลือเรา ขณะที่ถ้าน้องๆ จะแต่งตัวโป๊ไปเที่ยวเธคหรือผับ ไปในสถานที่ที่ไม่มีใครดูแลมันจึงเป็นเรื่องที่อันตรายมาก ถ้าแต่งเพื่อถ่ายรูปเก็บไว้ดูเองแบบนี้โอเค แต่งไปเถอะ อย่างเมื่อก่อนเราเห็นคนแต่งเซ็กซี่ก็อยากแต่งตามนะ แต่แต่งแล้วก็ถ่ายรูปเก็บไว้ดูเองคนเดียว ไม่อยากจะบอกว่าแซ่บกว่าภาพที่ออกมาเยอะด้วย

คนมักจะอ้างว่าผู้ชายที่ก่อคดีอาชญากรรมเป็นเพราะเห็นผู้หญิงแต่งตัวโป๊ เหมือนให้ท่า รู้สึกยังไง
เรื่องนี้บอกก่อนเลยว่าบางทีผู้ชายก็คิดไปเองว่าเราแต่งตัวสวยเพื่อเขา จริงๆ ไม่ใช่ เราแต่งตัวสวยเพื่อตัวเราเอง ไม่ได้จะแต่งตัวเพื่อไปหาผู้ชายให้เข้ามาเติมเต็มชีวิต แต่เราเติมเต็มตัวเราเอง มันคือความสุขของผู้หญิงแบบหนึ่ง แต่ในอีกมุมหนึ่ง เจมี่ก็เห็นใจผู้ชายนะ เรื่องของฮอร์โมนหรือความรู้สึกทางเพศมันพูดยาก ทางที่ดีเราก็ต้องระวังอย่าไปทำอะไรที่จะไปกระตุ้นความรู้สึกเหล่านั้นจนทำให้ตัวเองเดือดร้อน อย่างที่บอกต้องดูด้วยว่าจะแต่งตัวโป๊แล้วไปเดินสถานที่แบบไหน ขณะเดียวกัน ผู้ชายก็ไม่ใช่ไปหื่นใส่ผู้หญิงอย่างเดียว เพราะต่อให้เขาแต่งตัวโป๊แล้วคุณเข้าไปปล้ำ คุณก็ติดคุกอยู่ดี โทษไม่ได้เบาขึ้นเลย มันเหมือนคุณไปเห็นเงินคนอื่นแล้วอยากได้ อยู่ๆ จะหยิบไปเฉยๆ มันทำไม่ได้อยู่แล้ว คุณไม่สามารถไปฉุดรั้งสิ่งที่ไม่ใช่ของตัวเองมาเป็นของตัวเองได้

สุดท้าย ในเรื่องแย่ๆ ที่กระหน่ำเข้ามา เจมี่ค้นเจอสิ่งดีๆ บ้างไหม
ถ้าพูดตรงๆ มันทำให้เราได้กลับมาเดินในเส้นทางของวงการบันเทิงอีกครั้ง คือในข้อเสียมันก็ยังมีสิ่งดีๆ เข้ามา เหมือนที่ 'บอดี้สแลม' เขาบอกว่าไม่มีใครเติบโตจากฟ้าที่สดใส มันก็ต้องมีคลื่นลมและมรสุมที่จะทำให้เราได้พัฒนาตัวเอง อีกอย่างการกลับเข้าสู่เส้นทางของวงการบันเทิงครั้งนี้ จริงๆ เจมี่อยากจะเรียกว่าตัวเองมากับดวง อย่างที่รู้กันว่าเจมี่เล่นละครมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วมีช่วงหนึ่งที่หายไป ต้องยอมรับว่าการที่เด็กใหม่จะขึ้นมาเกิดในวงการเป็นเรื่องที่ยาก แต่คนที่เกิดแล้วหายไปจะกลับมาเกิดใหม่ยากกว่าอีก 10 เท่า เป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับเรา เพราะฉะนั้นวันนี้เจมี่มาอยู่ตรงนี้ได้ถือว่าเป็น 'เรื่องมหัศจรรย์' สำหรับเรามากแล้ว
แต่โอกาสหน้าเจมี่จะพยายามทำเรื่องให้คนด่าน้อยลง เพราะบางทีกระแสแรงๆ มันก็ทำให้เราบาดเจ็บ เป็นแผลเหวอะได้เหมือนกัน



เรื่อง : สาวิตรี พรหมสิทธิ์
ภาพ : พาณุวัฒน์ เงินพจน์

user's Blog!

49/1 ชั้น 4 อาคารบ้านเจ้าพระยา ถนนพระอาทิตย์ แขวงชนะสงคราม เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200

49/1 4th floor, Phra-A-Thit Road, Chanasongkhram,Phanakorn Bangkok 10200

Tel. 02 629 2211 #2256 #2226

Email : mars.magazine@gmail.com

FOLLOW US ON

SUBSCRIBE