ตะลุยดินแดนอารยธรรม
ตื่นตาตื่นใจกับการผจญภัยที่แปลกใหม่
ท่องป่าซาฟารีสัมผัสเจ้าป่าแห่งผืนป่าซาฟารีทั้ง 5
ใช้ชีวิตเศรษฐีที่ Sun City เมืองลับแลแห่งหุบเขาแสงตะวัน
ตากอากาศ ณ เมืองเก่าแก่ “ เคปทาวน์ ”
เยี่ยมบ้านเกิดไวน์มองต์ แคลร์
พูดคุยและเรียนรู้เรื่องไวน์กับไวน์เมกเกอร์มืออาชีพ
ถึงแอฟริกาใต้ จะเป็นประเทศท้ายๆที่นักเดินทางเลือกไปสัมผัส แต่เมื่อไวน์โลกใหม่ ที่รสชาติไม่เป็นรองไวน์โลกเก่า อย่าง “MONT CLAIR” โดยบริษัทสยาม ไวเนอรี่ จัดเต็มส่งความประทับใจกับกิจกรรม Mont Clair Win a Trip to South Africaนำ 6 ผู้โชคดี และเรา (ผู้ติดตาม) ก็อย่าได้แคร์ ถ้าต้องไปสัมผัสประเทศแอฟริกาใต้ ก่อนปารีส หรือประเทศอิตาลี จริงไหม
เพียงแค่ 11 ชั่วโมงเศษๆ เที่ยวบิน TG 703 สายการบินไทยแอร์เวย์ ก็พาพวกเราผู้โชคดีร่อนลงสนามบินโจฮันเนสเบิร์กโดยสวัสดิภาพ ทันทีที่ผ่านการตรวจคนเข้าเมืองที่แสนสะดวกสบาย
เพราะนักท่องเที่ยวชาวไทยได้รับการยกเว้นการขอวีซ่า แถมสามารถพำนักในแอฟริกาใต้ได้ 30 วัน มายืนปรับเวลาให้เร็วกว่าเมืองไทย 5 ชั่วโมงพวกเราทั้งหมดก็มุ่งหน้าสู่เมืองแห่งดอกไม้สีม่วง (Pretoria) เมืองหลวงด้านการบริหารของแอฟริกาใต้ ซึ่งตั้งตามชื่อของแอนดีส์ พรีทอรีอัส (Andries Pretorius) วีรบุรุษของการต่อสู้รบ ระหว่างพวกบัวร์ (Boer) กับชนพื้นเมืองผิวดำ ต่อกรกับนักล่าอาณานิคมอย่างอังกฤษเพื่อให้ได้อิสรภาพ
แม้ไม่มีโอกาสได้ชื่นชมดอกแจ๊กการันดา (Jacaranda) ดอกสีม่วงสดที่บานสะพรั่งในช่วงเดือนตุลาคมของทุกปีเฉกเช่น ซากุระของชาวญี่ปุ่น ตามสมญานาม “City of Jacarandas” ตามคำเลื่องลือ แต่เสน่ห์ของพิทอเรียก็ไม่ได้ลดน้อยลงเลย
เพราะที่นี้ยังมีสถานที่สำคัญๆที่งดงามตั้งเรียงรายรอบจตุรัสกลางเมือง Church Square พื้นสีเขียวที่ชาวบัวร์ใช้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นด้านการปกครอง และแลกเปลี่ยนข่าวสารบ้านเมืองมากมาย อาทิ เป็นที่ตั้งของอนุสาวรีย์พอล ครูเกอร์ อดีตประธานาธิบดีของรัฐอิสระชาวบัวร์
ใกล้กันนิดเดียวก็เป็น City Hall ศาลาเทศบาลเมือง มีอนุสาวรีย์แอน ดรีส์ พรีทอรัสและลูกชาย ผู้ก่อตั้งเมือง Union Building ตั้งตระง่าน
ทันทีที่อาการกลางวันมื้อแรกของแอฟริกาใต้ ณ ภัตตาคาร Cape Town Fish Market หมดลง พวกเราทั้งหมดก็โบกมือลาทำเนียบประธานาธิบดี ที่ใหญ่โตมโหฬารติดอันดับทำเนียบประธานาธิบดีที่สวยที่สุดในโลก มุ่งหน้าสู่เขตวนอุทยานสัตว์ป่าขุนเขาพีลันเนสเบิร์ก เพื่อชมสัตว์ที่ยิ่งใหญ่ทั้ง 5 ของแอฟริกา สิงโต แรด ควายป่า ช้าง และ เสือดาว ไปจนถึงเพื่อนๆ ที่น่ารักอย่างยีราฟ ม้าลาย ฮิปโปโปเตมัส ลิงบาบูล และนกป่านานาชนิด
เผชิญหน้ากับเจ้าป่าทั้ง 5ในความคิดได้ไม่เท่าไหร่ พวกเราทั้งหมดก็มาถึง BAKUBUNG BUSH LODGE ที่พักสุดหรูในซาฟารีลอดจ์ ที่ร่ำรวยไปด้วยธรรมชาติ ในเขตวนอุทยานสัตว์ป่าขุนเขาพีลันเนสเบิร์ก
เมื่อกระเป๋าแยกย้ายเข้าห้องพัก สิ่งแรกๆที่เพื่อนร่วมทริปสารภาพว่าทำเหมือนกันโดยไม่ได้นัดหมายก็คือ การคว้ากล้องถ่ายรูปดิจิตอลคู่กาย ขึ้นมาชาร์ตแบตสำรอง เพื่อพร้อมบันทึกภาพแห่งความทรงจำ กับกิจกรรมท่องป่าซาฟารีบริเวณวนอุทยานสัตว์ป่าขุนเขาพีลาเนสเบิร์ก (Pilanesburg Nature Reserve)
รถชมสัตว์แบบเปิดโล่งรับลม และทิวทัศน์ ได้รอบคัน พร้อมนายพรานผิวสี หรือ Ranger ซึ่งเป็นทั้งคนขับรถและไกด์ค่อยๆพาพวกเราสู่ถนนสายเล็กกะจิ๊ด เมื่อเทียบกับผืนป่าพิลาเนสเบิร์ก ที่กินพื้นที่กว่า 500 ตารางกิโลเมตร ซึ่งทุกตารางนิ้วล้วนเกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟเมื่อหลายร้อยปีก่อนโน้น
นั่นคงเป็นคำตอบว่าทำไมผืนดินบริเวณนี้ ถึงได้เขียวชอุ่ม อุดมสมบรูณ์ไปด้วยแร่ธาตุ และเป็นที่อยู่อาศัยของ สัตว์ป่ากว่า 220 ชนิด ซึ่งรวมถึง ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งห้า (Big Five) ที่พวกเรากำลังจะไปสัมผัสด้วย สารถีผิวเข้มกระซิบบอกว่า หากพวกเราเห็นครบทั้ง 5 ถือว่าเป็นการชมสัตว์ที่สมบูรณ์ที่สุด โดยให้ทำใจก่อนว่า นั่นเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยาก เพราะสัตว์ป่าที่นี่อยู่กันอย่างอิสระ ในป่าซึ่งเป็นป่าโปร่ง ป่าละเมาะและทุ่งหญ้าสะวันนา จนถึงกึ่งทะเลทราย
ดื่มด่ำกับสายลมจากทุ้งหญ้าสะวันนาสีทอง ที่กว้างไกลสุดตาพักใหญ่ๆ ช้างแอฟริกัน หนึ่งใน 5 เจ้าป่า ก็ย่างสามขุมเข้าใส่รถนักท่องเที่ยวที่แล่นนำหน้าพวกเราไป โดยไม่มีเกรงขาม เจอเจ้าถิ่นวางมาดนักเลงใส่แบบนี้ เป็นใครก็ต้องเปิดทางให้ พลขับคันของพวกเราก็เช่นกัน ใส่เกียร์ถอยหลังหยั่งเชิง ให้พวกเราเก็บภาพพลางถอยพลาง จนเจ้าป่าซึ่งมีขนาดใหญ่เท่ารถ ยอมหลบลงข้างทางไปสำราญกับดินเนอร์ใบไม้สีเขียว
ไม่รู้ว่าพวกเรามัวเพลิดเพลินกับทิวทัศน์ หรือตะวันของที่นี้ดวงโตกว่า และหนักกว่าบ้านเราหรือเปล่า เผลอนิดเดียว มันก็จมหายไปในสันเขาเสียแล้ว พลันที่แสงสุดท้ายหมดลง สปอตไลต์จากรถก็สาดใส่ทางฝุ่นสีน้ำตาล และท้องทุ่ง บั่นทอนเปอร์เซ็นต์จะได้ยลผู้ยิ่งใหญ่เข้าไปอีก เฮ้อ…
นั่งปล่อยให้สายลมเย็นชุ่มฉ่ำพัดใส่หน้า ไม่เท่าไหร่ สารถีตาไวเป็นเหยี่ยว ก็ส่งสัญญาณให้พวกเราสาดสายตาตามลำแสงสปอตไลต์ที่หยุดนิ่งกับวัตถุสีดำขนาดใหญ่ ภาพที่ทุกคู่สายตาเห็นคือ แรดพ่อแม่ลูก ขนาดใหญ่ (มาก)ทั้งครอบครัวกำลังเพลิดเพลินกับการเดินในทุ่งหญ้ายาม อาบแสงอุ่นๆจากดวงดาวนับล้านดวง
นั่นเป็นสองผู้ยิ่งใหญ่ใน 5 ที่พวกเรามีโอกาสได้สัมผัสใกล้ชิด ถึงตอนนี้ ผมก็ยังไม่แน่ใจเลยว่าทำไมดินเนอร์ค่ำนั้น ถึงได้หนาแน่นไปด้วยความสุขกว่าทุกดินเนอร์ของการเดินทาง ประสบการณ์ตื่นเต้นที่เพิ่งได้พบช่วยทำให้อาหารอร่อย และเพิ่มปริมาณความสุขได้จริงหรือ …
ราตรีสวัสดิ์ พีลันเนสเบิร์ก
ชีวิตเศรษฐีที่ The Lost City
ครั้งหนึ่งนานมาแล้วเคยคุยเล่นกับเพื่อนๆว่า “ทำไมน่ะ จะมีโอกาสได้ใช้ชีวิตเยี่ยงมหาเศรษฐีบ้าง” วันนี้อยากบอกเพื่อนๆ เหลือเกินว่าความฝันของเราเป็นจริงแล้ว เปล่าๆ!เราไม่ได้รวยหวยรวยหุ้นหรอก เพราะMont Clair Win a Trip to South Africaใจดีพาพวกเราทั้งหมดเดินทางสู่ “ซันซิตี้” Sun City หรือ The Lost City เมืองลับแลแห่งหุบเขาแสงตะวัน
Sun City เป็นเมืองที่ถูกเนรมิตขึ้นจากความคิดของอภิมหาเศรษฐีชื่อ “ซอล เคิร์ซเนอร์” ตัวเลขค่าเนรมิตเมืองที่หายไปให้กลับมาชีวิตชีวาอีกครั้งก็อยู่ที่ 28,000 ล้านบาทเท่านั้นเอง เขาเริ่มต้นด้วยการสร้างโรงแรมเดอะซันซิตี้, โรงแรมเดอะคาบานาส, โรงแรมเดอะคาสเคด
และโรงแรมที่หรู และราคาแพงที่สุดThe Palace of the Lost Cityทั้งหลังถูกออกแบบสถาปัตยกรรมสไตล์โคโลเนียนผสมแอฟริกัน ภายในตกแต่งสไตล์แอฟริกัน รวมระยะเวลาเบ็ดเสร็จที่เขาใช้ก็ 18 ปีเต็มๆ
ใครจะเชื่อว่าบนผืนดินอันว่างเปล่าแห้งแล้งในแคว้น Bophuthatswana กลางแอฟริกาใต้ จะกลายเป็นเมืองแห่งความสำราญบันเทิงทุกรูปแบบ ที่ชวนเชิญให้นักเดินทางจากทั่วทุกมุมโลกมุ่งหน้ามาโยกย้ายส่ายสะโพกไปตามท่วงทำนองของแอฟริกาใต้
แน่นอนMont Clair Win a Trip to South Africaจัดหนักทั้งที พวกเราไม่ได้มาแค่ชื่นชมความงามสถาปัตยกรรมสไตล์โคโลเนียลผสมแอฟริกัน หรือทำตัวเนียนๆยืนถ่ายรูปกับศิลปะลอยตัวฝูงเก้งกวาง ที่เตลิดหนีเสือดาวหรอก เพราะคืนนี้พวกเราทั้งหมดจะนอนกันที่โรงแรมที่หรูที่สุดนี่แหละ
ทันทีที่เช็กอินเรียบร้อย พวกเราก็มีโอกาสลองใช้ชีวิตเฉกเช่นมหาเศรษฐี ณ อาณาจักรอลังการดาวล้านดวง ที่เป็นเลิศเรื่องเซอร์วิสสุดประทับใจ เริ่มจากเพลิดเพลินกับสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ภายในบริเวณโรงแรม มีสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ และทะเลน้ำจืดเทียมขนาดยักษ์ Valley of Wave ไว้ให้ลูกค้าได้โต้คลื่นคลายร้อน แบบไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด
ไม่ว่าจะมองไกลๆ หรือโดดลงไปแวกว่าย ทะเลน้ำจืด (เทียม)ที่แวดล้อมไปด้วยขุนเขา และต้นไม้ก็มีลักษณะเหมือนทะเลจริงๆอย่างกับแกะ ใกล้ๆ กันเป็นสะพานแห่งกาลเวลา Bridge of time ที่ถูกจำลองขึ้นเพื่อระลึกถึงthe Lost Cityแม้แรงสั่นสะเทือนจะเบาจนพวกเราแทบไม่รู้สึก …แต่ก็เป็นความจริงที่ว่าทุกๆหนึ่งชั่วโมงสะพานจะถูกเขย่าเสมือนแผ่นดินไหว
นอกจากจะเป็นสวรรค์ของนักกอล์ฟแล้ว ที่นี้ยังเป็นวิมานชั้นเลิศของนักท่องราตรีด้วย เพราะมีทั้งโรงภาพยนตร์ ร้านค้า ดิสโก้เธค กาสิโน ที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมงกันเลยทีเดียว สมแล้วที่ถูกยกให้เป็นเมืองที่ไม่เคยหลับใหล พวกเราเองกว่าหัวจะถึงหมอนเวลาก็ล่วงมาค่อนคืน
ต่างอากาศ ที่“ เคปทาวน์ ”
หลับไม่ทันได้ฝัน เศรษฐี (ชั่วคราว) อย่างพวกเราก็โบกมือลาบ้านมหาเศรษฐี มุ่งหน้าสู่สนามบิน
โจฮันเนสเบิร์กเพื่อไปตากอากาศที่เคปทาวน์
2 ชั่วโมงเศษๆสายการบิน SOUTH AFRICAN AIRWAYS เที่ยวบิน SA323ก็พาพวกเราทั้งหมดถึงแหลมทางใต้สุดของประเทศ เมืองท่องเที่ยวต่างอากาศมากเสน่ห์ที่นักเดินทางทั่วโลกใฝ่ฝันมาเยี่ยมเยือน
ถึงมหาสมุทรแอตแลนติกจะแปรปรวน และเข้าใจยาก และน่าหวาดกลัวเป็นบางอารมณ์ แต่มั่นใจเถอะว่าเมืองริมฝั่งทะเลเคปทาวน์ เป็นเส้นทางมีวิวทิวทัศน์ที่งดงามน่าตื่นตาตื่นใจติดอันดับโลกแน่นอน
สำหรับคนที่หลงรักทะเล หาดทราย และสายลม เคปทาวน์ อาจเป็นสิ่งที่พวกเขาตามหา และปรารถนาจะใช้จ่ายวันเวลาให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แต่กับคอไวน์โลกใหม่แล้ว ที่นี้คือ ต้นกำเนิดไวน์ “มองต์แคลร์”ที่โด่งดังไปทั่วโลก
ใครก็ตามที่หลงไวน์โลกใหม่ ต้องมาเยี่ยมเยือนรอว์สันวิลล์ (Rawsonville)ไร่องุ่นและโรงไวน์ บริษัท ยูนิไวนส์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตและทำการตลาดของไวน์“มองต์แคลร์” (MONT CLAIR) ยูนิไวน์ แอฟริกาใต้ ซึ่งมีประวัติศาสตร์มายาวนานกว่า 50 ปี และเป็นบริษัทผลิตไวน์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศ โดยมีพื้นที่การปลูกองุ่นใหญ่เป็นอันดับที่ 8 ของโลก
สำหรับคอไวน์แล้ว พวกเขารู้ดีแกใจว่าเสน่ห์ของไวน์ของใหม่คือ รสชาติ และความหอมหวานที่ผสมผสานระหว่างไวน์โลกใหม่และไวน์โลกเก่าที่ลงตัวเป๊ะ แม้จะถูกจัดเป็นไวน์จากโลกใหม่ แต่วัฒนธรรมการปลูกองุ่น และการผลิตไวน์นั้นไม่ใหม่เลย เพราะสืบทอดยาวนานกว่า 350 ปีเลยทีเดียว
ระหว่างเดินทางกลับ PROTEA PRESIDENT HOTELเพื่อเก็บแรงไว้ลุย เทเบิ้ล เมาเท่น – เคปพอยท์ – แหลมกู๊ดโฮป – นกเพนกวิน – ช็อปปิ้ง เราก็ถึงบางอ้อว่า ทำไมคนแอฟริกาใต้ถึงเลือกไวน์มากกว่า ดนตรี และผู้หญิง
ไกด์บอกว่า การได้พบผู้ยิ่งใหญ่ครบทั้ง 5 เป็นเรื่องของโชค แต่ใครก็ตามที่มาเยือนเคปทาวน์ แล้วมีโอกาสได้ขึ้น “เทเบิ้ล เมาเท่น” ถือเป็นวาสนาโดยแท้ เพราะที่นั้นความปลอดภัยมาก่อนเสมอ เพียงอากาศแปรปรวนจนอาจเป็นอันตรายเจ้าหน้าที่ก็พร้อมหยุดให้บริการโดยไม่สนใจว่าคุณจะมีเงินเท่าไหร่ หรือเดินทางมาไกลแค่ไหน
เหมือนอากาศจะเข้าข้างพวกเรา เพราะเช้านี้ท้องฟ้าแอฟริกาใต้แจ่มใส่มาก ทันทีที่ตีตั๋วเสร็จ กระเช้าไฟฟ้าหมุนรอบตัวเอง (Cable Car) ก็ค่อยๆพาเราสู่ภูเขาสูงยอดตัดตรง รูปร่างหน้าตาคล้ายๆกับโต๊ะ
ใครก็ตามที่มีโอกาสได้ไปยืนมองบนนั้น แล้วหมุนไปรอบๆจะรู้ได้ทันทีว่าที่ที่เรายืนไม่ต่างจากเมืองฟ้าเมืองสวรรค์ที่รายล้อมไปด้วยเมฆหมอกเลย ที่สะดุดตา และชี้ชวนให้ชมคงเป็นLion Headภูเขาหัวสิงโต น่าเกรงขาม
ดื่มด่ำกับความงดงามบนยอดเขากันจนจุใจ ก็ถึงเวลาโบกมือลาสวรรค์ไปชมนกเพนกวินแอฟริกันที่เมืองไซมอน Simon's Town เป็นเมืองเล็กๆที่บ้านเรือนตั้งลดหลั่นกันอยู่ตามเนินเขา และทุกหลังหันหน้าออกรับลมทะเล ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าวิวทะเลแบบนี้เจ้าของส่วนมากเป็นคนมีฐานะ
เพลินตากับวิวทิวทัศน์ไม่เท่าไหร่ พวกเราก็มาถึงชายหาดโบลเดอร์ บ้านหลังน้อยของนกเพนกวินแอฟริกัน เจ้าหน้าที่แนะว่า ตัวผู้จะมีสีสันมากกว่าตัวเมีย และบริเวณขอบตาจะมีสีชมพู คล้ายแต้มสีอายแชโดว์ ส่วนตัวเมียลำตัวจะมีสีดำขาวตัดกัน และมีขนาดใหญ่กว่า
นกเพนกวินที่นี่ใช้ชีวิตอย่างอิสระสบายอารมณ์ตามธรรมชาติ วิ่งเล่นอยู่บนชายหาดสวยจนน่าอิจฉา แถมมีมากมายจนเลือกไม่ถูกว่าจะเลือกชมความน่ารักตัวไหนดีเลยทีเดียว
อีกไฮไลต์ของการเดินทางที่ผู้มาเยือนเคปทาวน์ ก็คือการเดินทางสู่แหลมแห่งความหวัง Cape of Good Hopeอยู่ในเขตสงวน Cape of Good Hope Nature Reserve ปลายสุดแหลมมีประภาคารขนาดใหญ่ นอกจากทิวทัศน์สุดแสนจะโรแมนติกแล้ว บนนั้นจะเห็นรอยตะเข็บที่มหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแอตแลนติกมาบรรจบกันได้ชัดเจน
ถ้าให้สรุปว่าเราได้อะไรจากการเดินทางครั้งนี้ คงชี้ชัดไม่ได้ แต่ที่เรารู้ และเพื่อนร่วมทางก็รู้คือ พวกเราอยากกลับไปแอฟริกาใต้อีกหลายๆครั้งถ้ามีโอกาส ทำไมนะหรือ… ก็เพราะแอฟริกาใต้มีวัฒนธรรมที่ยิ่งใหญ่ มีท่วงทำนองที่ชวนฟัง มีไวน์โลกใหม่ชื่อก้องโลก เหนืออื่นใด ที่นั่นมีมิตรภาพ และความทรงจำดีๆของพวกเราไง