BORN TO BE HERO 'ซิโก้' เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง


กลายเป็นปรากฏการณ์ เป็นกระแส 'ฟุตบอลไทยฟีเวอร์' ไปทั่วทั้งประเทศ สำหรับทัพนักเตะ 'ช้างศึก' ทีมชาติไทย ที่สร้างผลงานยอดเยี่ยมผงาดคว้าแชมป์เจ้าอาเซียน 'AFF Suzuki Cup 2014' มาครองได้อีกครั้ง หลังร้างโทรฟีมากว่า 12 ปีเต็ม และนับเป็นแชมป์สมัยที่ 4 ในรายการนี้ต่อจากปี 1996, 2000 และ 2002 ซึ่งบุคคลสำคัญที่กองเชียร์ยกย่องให้เป็นฮีโร่คงหนีไม่พ้น 'ซิโก้' เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง กุนซือใหญ่ ผู้เข้ามาวางรากฐานเปลี่ยนแปลงระบบการเล่นให้กลับมาเร้าใจอีกครั้งด้วยสไตล์วิ่งสู้ฟัด หลังจากที่แฟนบอลต้องทนกับความล้มเหลวและการเล่นได้ไม่ประทับใจมานาน
ซิโก้เคยถูกยกย่องว่าเป็น ศูนย์หน้าขวัญใจชาวไทย จากผลงานอันโดดเด่นสมัยค้าแข้งและแจ้งเกิดในชุดดรีมทีม รวมถึงท่าตีลังกาดีใจหลังยิงประตูได้อันเป็นเอกลักษณ์ พาทีมชาติไทยคว้าแชมป์มาแล้วนับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นแชมป์ซีเกมส์ 4 สมัยซ้อน (ปี 1993, 1995, 1997 และ 1999) แชมป์อาเซียน 3 สมัย (ปี 1996, 2000 และ 2002) รวมถึงพาทัพ 'ช้างศึก' คว้าอันดับ 4 ในเอเชียนเกมส์ 2 ครั้ง (ปี 1998 และ 2002) และผ่านเข้ารอบ 10 ทีมสุดท้าย ศึกฟุตบอลโลก 2002 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย ซึ่งเป็นอันดับที่ใกล้เคียงที่จะได้ไปฟุตบอลโลกมากที่สุดของทีมชาติไทยจนถึงทุกวันนี้ โดยฝากผลงานลงเล่นทั้งหมด 131 นัด ยิงได้ 70 ประตู ซึ่งในจำนวนนั้นมีหลายประตูที่เป็นประตูสำคัญในการตัดสินผลแพ้ชนะ ทำให้ซิโก้ถูกยกย่องให้เป็นฮีโร่ของไทยไปโดยปริยาย
นอกจากนี้ยังสร้างชื่อด้วยการเป็น นักเตะคนแรกของเมืองไทย ที่ได้เซ็นสัญญาย้ายไปเล่นในลีกอังกฤษ กับ ฮัดเดอร์สฟิลด์ ทาวน์ ในดิวิชั่น 1 รวมถึงย้ายไปเล่นในลีกต่างแดนอย่างฮองอันห์ยาลาย (เวียดนาม), สิงคโปร์ อาร์มฟอร์ซ (สิงคโปร์) และปะลิส (มาเลเซีย) ซึ่งในเส้นทางสายฟุตบอลอาชีพ ซิโก้ต้องเจอประสบการณ์ทั้งความสุขและขมขื่นนับไม่ถ้วน
แม้หลังจากแขวนสตั๊ดไปแล้ว เส้นทางการเป็นโค้ชของเจ้าตัวจะไม่เป็นที่น่าประทับใจมากนัก ไม่สามารถพาทีมคว้าแชมป์ใดได้เลย ก่อนจะได้รับโอกาสขึ้นคุมบังเหียนทีมชาติไทยท่ามกลางคำสบประมาท แต่สุดท้ายซิโก้ก็พิสูจน์ฝีมือให้ทุกคนได้ประจักษ์ พาทีมทวงความยิ่งใหญ่ประกาศศักดาเป็นเจ้าอาเซียนได้อย่างเต็มภาคภูมิ และได้รับการยกย่องจากแฟนบอลให้กลับมาเป็นฮีโร่อีกครั้ง
ดังนั้นเราจึงไม่พลาดที่จะมาจับเข่าคุยถึงเบื้องหลังเส้นทางความสำเร็จของผู้ชายที่เกิดมาเพื่อเป็นฮีโร่คนนี้

ส่วนตัวคิดว่า ปรากฏการณ์และกระแส 'ฟุตบอลไทยฟีเวอร์' เกิดขึ้นได้อย่างไร
จริงๆ แล้วอย่างแรกเลยต้องขอบคุณแฟนบอลชาวไทยที่ชื่นชมน้องๆ นักเตะ ตัวผมเองเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเฉยๆ สิ่งที่มันเกิดขึ้นก็คือ เราเห็นน้องๆ ทุกคนมีความมุ่งมั่นทุ่มเท แล้วผลตอบรับทำให้แฟนบอลกลับมาดูฟุตบอลไทยมากขึ้น เด็กๆ ทุกคนรู้สึกตื่นเต้น ดีใจ และซาบซึ้งใจ เด็กหลายๆ คนเหมือนกับพลิกสถานการณ์ บางคนมีชื่อเสียงมากขึ้น แต่เราต้องพยายามตีกรอบให้น้องเขาเดินว่าตอนนี้เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น ยังไม่ใช่สิ่งที่ก้าวไปข้างหน้ามากนัก เพราะแชมป์ซูซูกิ คัพ หรือซีเกมส์ ที่เราได้มาในครั้งนี้นั้น เราเคยได้มาก่อนหน้านี้แล้ว

อะไรคือจุดเปลี่ยนสำคัญที่กลับมาฟีเวอร์อีกครั้ง
หลายคนเป็นแฟนเก่าของเราตั้งแต่สมัยเป็นผู้เล่น และอาจเบื่อวงการฟุตบอลในช่วง 12 ปีที่ผ่านมาที่มีแต่การทะเลาะ แก่งแย่ง เล่นไม่สนุก เล่น 75 นาทีก็หมดแรง พอแพ้แล้วก็พาล ไม่ยอมรับการตัดสิน ต่อยกันเอง ต่อยกรรมการ มีแต่ภาพลบมาตลอด อย่างที่เขาเหน็บแนมกันว่าบอลไทยจะไปมวยโลก ซึ่งเราเองที่เป็นนักฟุตบอลก็ไม่ชอบคำนี้ ดังนั้นพอเราเข้ามาเป็นโค้ชเราจึงพยายามที่จะจัดการภาพที่มันไม่ดีเหล่านี้ เราคิดว่าทำไมมันแย่อย่างนี้ แต่ถ้าเราเป็นโค้ชล่ะจะจัดการกับมันอย่างไร ก็เป็นการบ้านให้เรา โดยดูจากประสบการณ์ของเราทั้งตอนเป็นผู้เล่นและตอนเป็นผู้ชมมาเปลี่ยนแปลง และสุดท้ายก็ออกมาอย่างที่เห็น ตัวผู้เล่นไม่จำเป็นต้องดีมีชื่อเสียงที่สุด แต่เมื่อลงไปแล้วต้องเล่นให้สนุก วิ่งสู้ฟัด เล่นไปต้องไม่เกเร ไม่หยาบ ไม่โดนใบเหลืองใบแดงแบบไม่ควรโดน ต้องเล่นให้ประทับใจแฟนบอล

คนที่ไม่ได้ติดตามบอลไทย มองว่าซิโก้หายไปนานมาก
หลังจากแขวนสตั๊ดมาถึงวันนี้ก็ 7 ปีแล้ว แต่จริงๆ แล้วเราไม่ได้หายไปไหนนะ แฟนบอลทุกคนรู้ว่าผมเป็นโค้ชตามสโมสรต่างๆ ไปทำทีมฮองอันห์ยาลายที่เวียดนาม (2551) แล้วกลับมารับงานเมืองไทยกับจุฬาฯ-สินธนา (2552), ชลบุรี เอฟซี (2553) แล้วไปฮองอันห์ยาลายอีกครั้ง (2554-2555) ก่อนจะกลับมาทำบีบีซียู เอฟซี (2555-2556) และบางกอก เอฟซี (2556) ซึ่งแสดงว่าเรายังอยู่ในวงการฟุตบอลอยู่ตลอด เพียงแต่ว่าไม่ได้ทำทีมใหญ่แล้วลุ้นแชมป์เท่านั้น ส่วนมากทำทีมเล็กหนีตกชั้นจึงอาจทำให้ไม่อยู่ในกระแสข่าวมากนัก แต่พอมาทำทีมชาติไทยแล้วประสบความสำเร็จ ก็ได้รับการพูดถึง ได้รับการชื่นชมอีกครั้ง

ทำแต่ทีมเล็ก ทำให้แฟนบอลไม่เชื่อมือ?
เราต้องยอมรับในจุดนี้ และก็ไม่โกรธหรือรู้สึกไม่ดี เพราะแฟนบอลเราคาดหวังไว้สูงว่าโค้ชที่จะเข้ามาคุมทีมชาติจะต้องมีโปรไฟล์และประสบการณ์ที่ดีติดตัว แต่นั่นก็ทำให้เราเกิดความรู้สึกท้าทายว่าจะต้องทำให้ได้ และที่ผ่านมาเราทำทีมสโมสรก็ไม่ถึงกับแย่ สามารถทำบีบีซียูฯ เลื่อนชั้นจากดิวิชั่น 1 ขึ้นไทยลีกได้ในปีเดียว แต่ฤดูกาลใหม่ผู้บริหารอยากได้อันดับเลขตัวเดียวเพื่อเป็นภาพลักษณ์ของทีม ซึ่งเราใช้นักเตะชุดเดิมๆ คิดว่าปีแรกแค่อยู่รอดก็พอแล้ว เลยขอลาออก ส่วนกับชลบุรีฯ เป้าหมายของทีมคือแชมป์อย่างเดียว แต่ฟุตบอลมันบอกไม่ได้หรอกว่าจะต้องเป็นแชมป์ตลอดกาล เราทำได้อันดับ 2 และวันนี้เขาได้เรียนรู้แล้วว่าจากนั้นเขาทำมากี่สมัยก็ยังไม่ได้แชมป์ ฉะนั้นฟุตบอลไม่ได้หมายความว่าเราเข้าไปทำแล้วต้องได้แชมป์ เราไม่ใช่โค้ชขั้นเทพที่จะเลือกได้ว่าต้องเป็นแชมป์อย่างเดียว

แล้วเริ่มงานกับทีมชาติไทยครั้งแรกเมื่อไร
เริ่มแรกเลยได้เข้ามาช่วยงาน Steve Darby กุนซือชาวอังกฤษ ทำทีมซีเกมส์ที่ลาว เมื่อปี 2009 แต่ตอนนั้นคือมีเวลาเตรียมความพร้อมแค่ 5-7 วัน สุดท้ายตกรอบแรก เข้ามาครั้งแรกก็เจอจังๆ เลย ถึงแม้จะเป็นผู้ช่วยโค้ชแต่ต้องยอมรับสภาพด้วยกัน และนั่นคือสิ่งที่เราเจอมาว่า ถึงแม้ทีมชาติไทยเราจะมีชื่อชั้นดีในอาเซียนขนาดไหน แต่ถ้าเราไม่เตรียมความพร้อมก็มีสิทธิ์ที่จะพลาดได้ นั่นคือเป็นประสบการณ์สำคัญ ทำให้เราคิดว่าเมื่อเรามีโอกาสได้เป็นเฮดโค้ช จะต้องทำงานให้หนักและเตรียมความพร้อมให้ดีกว่านี้

ได้ประสบการณ์อะไรมาบ้าง
เยอะมาก ตอนนั้นเรามีนักเตะชั้นยอดชื่อดังที่สุดของประเทศ ทำให้แฟนบอลทุกคนคิดว่าต้องแชมป์แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นธีรศิลป์ แดงดา, กีรติ เขียวสมบัติ, สุทธินันท์ พุกหอม, เกียรติประวุฒิ สายแวว, กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์, ธีราทร บุญมาทัน, อาทิตย์ สุนทรพิธ, อภิภู สุนทรพนาเวศ, สุมัญญา ปุริสาย หรือปิยะชาติ ถามะพันธ์ แต่คิดเอาเองแล้วกันว่าขนาดมีผู้เล่นชื่อดังขนาดนั้นยังตกรอบแรกได้เลย แล้วเรายังจะมีความเชื่ออีกหรือว่าฟุตบอลไม่ต้องซ้อมแล้วไปแข่งแล้วจะได้แชมป์

จึงตัดสินใจที่จะผันตัวมาเป็นโค้ชทีมชาติ?
เวลานั้นยังไม่ได้มองถึงขนาดนั้น แต่ตอนที่เราอำลาเลิกเล่นทีมชาติ เราได้บอกกับแฟนบอลว่าถ้ามีโอกาสเราอยากกลับมาเป็นโค้ชทีมชาติ ทุกคนอยากจะทำเพื่อประเทศชาติ แต่ก็ต้องมีความพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ เรามีบทเรียนมาแล้ว เอาคำด่าในวันนั้นมาเป็นพลังที่จะทำให้ประเทศชาติ กระทั่งในช่วงที่ทำอยู่กับบางกอก เอฟซี โดยจบที่ 4 ไม่ได้เลื่อนชั้น ผมได้รับการติดต่อจากสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ให้มาทำทีมชุดซีเกมส์ 2013 ที่เมียนมาร์ ตอนแรกก็ยังสองจิตสองใจ แต่สุดท้ายก็ขอลามาทำทีมชาติ เริ่มเก็บตัวตั้งแต่เดือนมกราคมปีนั้นเป็นต้นไป โดยมีเวลา 11 เดือนในการจูนทีม ลองเรียกนักเตะคนนู้นคนนี้มาลองฝีเท้า เพราะเรามีประสบการณ์ที่ลาวมาแล้วว่า ถึงแม้จะมีตัวดี แต่ไม่ได้ฝึกซ้อม มันก็แพ้ได้

กดดันขนาดไหน
มันก็มีความกดดัน เพราะเราล้มเหลวในรายการนี้มาพักใหญ่ ดังนั้นจึงมีเป้าหมายสูงคือแชมป์สถานเดียว แต่เมื่อเรามีเวลาซ้อมและเก็บตัวอย่างเต็มที่ทุกอย่างมันก็ออกมาได้ดีจนได้แชมป์ในที่สุด ก่อนจะต่อยอดมาถึงการได้อันดับ 4 ในเอเชียนเกมส์ 2014 ที่เกาหลีใต้ ซึ่งในรายการนี้เราเล่นโดยไม่มีความกดดันอะไรมาก เพราะชื่อชั้นเราเป็นรองอยู่แล้ว แต่ทุกคนก็สามารถทำผลงานออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม

คุมชุดใหญ่ครั้งแรกโดนถล่มเละ ถอดใจไหม
หลังจบซีเกมส์เราได้รับมอบหมายให้คุมทีมชาติชุดใหญ่ ในนัดสุดท้าย เอเชียน คัพ 2015 รอบคัดเลือก ซึ่งไม่มีผลเพราะเราตกรอบไปแล้ว โดยตอนนั้นไม่มีโค้ชคนไหนอยากเข้ามาทำเพราะจะมีแต่เสียกับเสีย รวมถึงตัวเราด้วยที่ไม่ได้เป็นผู้ดูแลทีมนี้มา จึงพยายามเลือกตัวผู้เล่นที่ดีที่สุดในลีก แต่สุดท้ายเราก็แพ้คาบ้านต่อเลบานอน 2-5 ซึ่งเราก็ทราบดีอยู่แล้ว เพราะบอลไม่ได้ซ้อมร่วมกันมาเลย

ตัดสินใจยากแค่ไหนที่มารับงานซูซูกิ คัพ
ตอนนั้นยัง 50-50 กับการคุม เพราะกดดันมาก และมีเวลาเตรียมทีมแค่ไม่กี่สัปดาห์ ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าหากดันเด็กชุดที่เราทำมาไปแข่งยกชุดผลจะออกมาเป็นอย่างไร เพราะต้องแบกน้ำหนัก เนื่องจากทุกทีมที่เข้าแข่งล้วนเป็นทีมชาติชุดใหญ่ของแต่ละประเทศ มีประสบการณ์มากมาย มีโอกาสสูงที่จะไม่ประสบความสำเร็จ แต่ทางสมาคมฟุตบอลฯ ได้ให้นโยบายมาว่าอยากจะใช้ผู้เล่นจากชุดเอเชียนเกมส์เป็นหลักในรายการนี้ เพราะผู้เล่นชุดนี้ได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากแฟนบอล วิ่งสู้ฟัด เล่นสนุก เราก็เลยคิดว่าเมื่อให้ทำแบบนี้ก็แสดงว่าอาจจะไม่ได้เน้นแชมป์มากนัก แต่ถามว่าตัวเราเองก็เสี่ยง เพราะแฟนบอลเน้น แข่งในอาเซียนต้องเน้นแน่นอน ต้องคว้าแชมป์อย่างเดียว สุดท้ายเราก็คิดว่าเป็นการเปิดประสบการณ์ให้กับเด็กๆ หากเราต้องการจะสร้างสายเลือดใหม่ในอนาคต เราต้องกล้าลองใช้พวกเขา และผมเองบอกตลอดว่าเราไม่การันตีแชมป์นะ แต่การันตีว่าเด็กชุดนี้วิ่งเต็มร้อยแน่นอน

เจอกระแสค้านตอนประกาศรายชื่อ?
เราได้เห็นพัฒนาการเด็กจากชุดเอเชียนเกมส์ ซึ่งเป็นตัวหลักชุดนี้กว่า 80 เปอร์เซ็นต์ จึงคิดว่าเรียกคนใหม่เข้ามาเสริม อย่างอดุล หละโสะ, กีรติ เขียวสมบัติ, มงคล ทศไกร หรือประกิต ดีพร้อม ซึ่งจริงๆ แล้วเกือบทุกคนก็เป็นลูกน้องเก่าเคยทำงานด้วยกันกับผมมาแล้ว เพียงแต่ว่าอาจจะไม่ใช่ตัวที่ดีที่สุดในสายตาแฟนบอล แต่เราเชื่อว่าเมื่อเราสั่งการลงไป เด็กสามารถทำตามที่เราสั่งได้ เราเชื่อมั่นในแทคติกของเราเลยคิดว่าไม่น่าเสียหาย เรามองที่ตัวคนเป็นหลัก ซึ่งฝีเท้าพวกเขาก็ไม่ได้ขี้เหร่กว่าคนอื่น เพียงแต่เราจะทำอย่างไรให้เทคนิคของเขามารวมกันเป็นแทคติกที่สมบูรณ์ได้เท่านั้น เทคนิคดีแต่เข้ากับแทคติกเราไม่ได้มันก็สั่งการไม่ได้ ไม่มีประโยชน์ เราเน้นทีมเวิร์ก ทุกคนมีส่วนร่วมด้วยกัน ไม่มีสตาร์ ไม่มีใครมีอีโก้สูงว่าจะต้องลงเป็น 11 คนแรกนะ จึงทำให้ทีมมีปัญหาน้อยที่สุด

สร้างทัศนคติใหม่ให้กับทีมชาติไทย?
เราไม่สามารถนำนักเตะมาเก็บตัวกินนอนซ้อมเหมือนสมัยก่อนได้ เพราะวันนี้นักบอลเป็นสมบัติของสโมสร เราต้องให้เกียรติสโมสรก่อน หากเราขอตัวไปแล้วสโมสรโอเคไหม ถ้าไม่โอเคเราก็เรียกคนอื่นแทน เพราะว่าทีมชาติเป็นของพวกเราทุกคน คนไหนอยากติดทีมชาติ เราเห็นสไตล์การเล่นเราก็เรียกดู กองเชียร์อาจไม่รู้ว่าทำไมเราเลือกคนนี้ ไม่เอาคนนั้น เพราะเรารู้ว่าแต่ละคนเล่นอย่างไร เราติดตามในลีกมาตลอด อยากได้น้ำใหม่บ้างเพื่อที่จะได้ทำให้เขามีความกระหายในการรับใช้ชาติ เพียงแต่นักเตะทุกคนที่ติดทีมต้องมีความฟิต ไม่เกเร สามารถวิ่งได้ครบ 90 นาทีโดยไม่หมดแรง

ทีมชุดนี้กับชุดดรีมทีมสมัยซิโก้ ทีมไหนดีกว่ากัน
ต้องยอมรับว่าทีมชุดปัจจุบันนี้ดีกว่าสมัยเราตอนเล่นให้ชุดดรีมทีม เพราะสมัยนั้นบอลลีกยังไม่บูมถึงขนาดนี้ สามารถเรียกเก็บตัวรวมกันเป็นเดือนๆ ได้ จึงทำให้ผู้เล่นแม้จะไม่มีประสบการณ์หรือทักษะที่ดีมากก็ประสบความสำเร็จได้ แต่ผู้เล่นชุดนี้มีทั้งประสบการณ์ในลีกและยังมีทักษะฝีเท้าที่ดี รวมถึงมีความแข็งแรงของร่างกายที่ได้จากวิทยาศาสตร์การกีฬา การฝึกซ้อมที่ถูกวิธี

ผลงานดีขนาดนี้จะไปฟุตบอลโลกได้ไหม
เรื่องฟุตบอลโลกเป็นเรื่องของอนาคต ซึ่งตอนนี้เรามาถูกทางแล้ว เราสามารถประกาศศักดาว่าในอาเซียนเราเก็บมาหมดแล้ว ทั้งชุดเล็กในซีเกมส์ และชุดใหญ่ในซูซูกิ คัพ เรากลับมาอยู่ใกล้เคียงกับจุดเดิมอีกครั้ง ดังนั้นจากนี้อย่างน้อยในระดับเอเชียเราต้องขยับขึ้นไปอยู่ลำดับต้นๆ แต่ก่อนเราเคยได้ที่ 6 ของเอเชีย ดังนั้นหากเรากลับไปยืนตรงจุดนั้นได้อีกครั้ง โอกาสไปบอลโลกในอีก 10-20 ปีข้างหน้านี้ก็มีความเป็นไปได้

คว้าแชมป์ แต่อันดับโลกไม่ขยับ?
ตอนนี้เราถือว่าเราเป็นเบอร์ 1 ของอาเซียนแล้ว และทุกคนก็รู้ดี ส่วนเรื่องแรงกิ้งฟีฟ่านั้นก็ต้องไปว่ากันต่อ เพราะไม่ใช่คว้าแชมป์ปุ๊บอันดับจะขยับทันที เราต้องสะสมคะแนนโดยการอุ่นเครื่องตามฟีฟ่าเดย์

วางแผนอย่างไรบ้างหลังได้รับมอบหมายให้ดูแลทีมชาติทุกชุด
ตอนนี้เรามีทีมชุดที่ดีที่สุดแล้ว 1 ชุด ดังนั้นจากนี้ก็ต้องดูในชุดอื่นๆ ว่าจะมีใครเข้ามาเสริมได้บ้าง อย่างในชุดเล็กอายุไม่เกิน 23 ปี ผมก็ได้ให้โค้ชโชค (โชคทวี พรหมรัตน์) เข้ามาช่วยดูและเตรียมทีมลุ้นไปเล่นโอลิมปิกเกมส์ 2016 ที่บราซิล และจะมารวมกับนักเตะหลักในชุดนี้ที่อายุยังไม่เกินโควตา ซึ่งมีอยู่หลายคน เช่น ชนาธิป สรงกระสินธ์, นฤบดินทร์ วีรวัฒโนดม เป็นต้น ส่วนทีมชาติชุดใหญ่ที่มีโปรแกรมลงเล่นฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือกกลางปีนี้ เราก็จะเปิดโอกาสให้กับทุกคนที่ทำผลงานได้ดีในลีกมาติดทีม

ได้ค่าจ้างเยอะไหม
ผมได้เซ็นสัญญากับทางสมาคมฟุตบอลฯ แล้วเป็นเวลา 4 ปี ส่วนเรื่องว่าได้รับค่าเหนื่อยเท่าไหร่นั้นทางผู้ใหญ่เขาไม่อยากให้เปิดเผยรายละเอียด แต่เป็นเรตที่เรายอมรับได้ ตามมาตรฐาน เหมาะสมกับการเป็นโค้ชอาชีพ ซึ่งเป็นสัญญาจ้างเฉพาะตัวเรา ดังนั้นผมต้องนำเงินส่วนนี้ไปแบ่งให้กับทีมงานด้วย เหมือนว่าเราเป็นหัวหน้าเขา ดึงเขาเข้ามาทำงาน

มีวิธีเลือกทีมงานอย่างไร
อย่างแรกคือต้องรู้มือ ตัวผมจะเป็นคนดูแลเรื่องวางแทคติกของทีมเองทั้งหมด ส่วนทีมงานก็จะคอยดูเรื่องต่างๆ อย่างใกล้รุ่ง ตรีจักรสังข์ ผู้ช่วยโค้ช ก็จะดูเรื่องการฝึกซ้อม การเล่นมินิเกม วอร์มอัพ-คูลดาวน์ และดูผู้เล่นกองหน้ากับกองกลาง โดยมีโชคทวีช่วยดูเรื่องกองหลัง และกิตติศักดิ์ ระวังป่า ดูเรื่องผู้รักษาประตู ส่วนเจ้าหน้าที่ทีมก็ดูแลเรื่องอุปกรณ์ฝึกซ้อม น้ำดื่ม เสื้อผ้า อาหารการกิน โปรแกรมเวตเทรนนิ่ง การประสานงานในการเดินทางและห้องพักต่างๆ

การเป็นนักเตะกับโค้ชต่างกันขนาดไหน
งานโค้ชกับนักเตะไม่ต่างกัน ขึ้นอยู่กับว่าความรับผิดชอบที่มากขึ้น งานนักเตะมีไม่กี่อย่าง คือดูแลร่างกายให้ดี ทำอย่างไรให้เพอร์ฟอร์แมนซ์คงเส้นคงวา กิน นอน ซ้อม แข่ง จบแล้วก็อาบน้ำนอน แต่งานโค้ชไม่มีที่สิ้นสุด ชนะก็ต้องคิดต่อว่าจะทำอย่างไรให้ชนะได้ต่อไป แพ้ก็ต้องมาปรับปรุงแก้ไข ต้องเลือกผู้เล่น ต้องให้ได้ตามสไตล์ เลือกสตาฟฟ์โค้ช เลือกทีมงานเจ้าหน้าที่ เตรียมปรีซีซั่น เตรียมการแข่ง การเก็บตัว โรงแรมที่พัก อาหารการกิน วางแผนแทคติก เล่นระบบอะไร ทีมงานที่จะต้องมาดูระบบร่างกาย สภาพจิตใจ โภชนาการ เยอะแยะไปหมด

ย้อนกลับไปสมัยเป็นผู้เล่น ถือว่าประสบความสำเร็จขนาดไหน
ถือว่าประสบความสำเร็จมาก เพราะความฝันของเราคือแค่ติดทีมชาติไทยสักครั้ง แต่สุดท้ายก็ได้โลดแล่นมาถึง 15 ปี มีทั้งประสบความสำเร็จในเรื่องของเงินแต่ล้มเหลวในเรื่องผลงาน หลังจากได้เล่นในเมืองไทยกับธนาคารกรุงไทย (2538-2539), ราชประชา (2539-2541), ตำรวจ (2541-2542) ก็ได้มีโอกาสถีบตัวเองไปเล่นฟุตบอลอาชีพที่ต่างประเทศถึง 9 ปี ที่มาเลเซีย อังกฤษ สิงคโปร์ และเวียดนาม ซึ่งการไปเล่นอาชีพต่างแดนครั้งแรกกับสโมสรปะลิส ในมาเลเซีย ทำให้เรารู้สึกว่าหากเล่นฟุตบอลเป็นอาชีพจริงๆ ก็สามารถสร้างรายได้ที่งดงามได้

เป็นนักเตะไทยคนแรกที่ไปเล่นในลีกอังกฤษ
ที่อังกฤษ เราเปรียบเหมือนคนไปถางทาง เพราะที่ผ่านมายังไม่เคยมีนักเตะไทยคนไหนไปเล่นที่อังกฤษได้ เราได้สัญญา 1 ปีครึ่งกับทีมฮัดเดอร์สฟิลด์ ทาวน์ ในดิวิชั่น 1 อังกฤษ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ดีแต่ลำบากมาก เหนื่อยมาก ซ้อมหนักตลอดทั้งปี ไม่มีวันไหนที่ไม่เหนื่อย กลับมาที่ห้องพักก็ต้องเอาน้ำแดงกรอกปาก เพราะว่าเหนื่อยมาก เราจึงเข้าใจเลยว่าทำไมนักเตะพรีเมียร์ลีกถึงได้วิ่งสู้ฟัดตลอด 90 นาทีไม่มีหมดแรง ก็เพราะความแข็งแรงแข็งแกร่ง ส่วนเราที่รูปร่างเล็ก ก็ต้องเหนื่อยมากขึ้น ต้องวิ่ง 3 ก้าวจึงจะเท่าฝรั่งวิ่งก้าวเดียว
นอกจากนี้สภาพอากาศยังหนาวเย็นตลอดทั้งปี เราก็รู้สึกว่า โห เรามาอยู่ที่นี่ได้ไงเนี่ย หนาวก็หนาว ใส่เสื้อ 3 ชั้นยังเอาไม่อยู่เลย แต่ก็ต้องปรับตัวเอง ที่นั่นเขาก็ไม่มาสนใจเราในเรื่องพวกนี้ สนใจแค่ว่าเมื่อเราเซ็นสัญญามาแล้วคุณต้องทำงานให้หนัก ทำให้เรารู้ว่าหน้าที่ของนักฟุตบอลอาชีพจริงๆ เมื่อมาอยู่กับสโมสรแล้วคือการซ้อม ไม่ใช่การได้ลงเป็น 11 ตัวจริงในสนาม ซึ่งเรื่องนี้เป็นหน้าที่ของโค้ชว่าเขาจะเลือกคุณหรือไม่เลือก มันเป็นความท้าทายทั้งนั้น ไม่เหมือนนักเตะบ้านเราที่สบายๆ บางครั้งสนิทกับโค้ชก็ได้ลงเล่นแล้ว แต่ที่เมืองนอกไม่มีหรอกครับ ต้องแข่งขันกันในสนาม ใครทำผลงานได้ดีจึงจะได้ลง

รู้สึกยังไงกับเสียงสบประมาทว่าล้มเหลวเพราะไม่ได้ลงเล่นแม้แต่เกมเดียว
ลีกที่ดีที่สุดก็คือที่อังกฤษ มันเป็นตลาดโลกของฟุตบอล ทุกคนโหยหาอยากไปเล่น จนวันนี้นักฟุตบอลไทยก็ยังไม่มีใครได้ไป แต่เราก็ได้ประสบการณ์ตรงนั้นมาแม้ว่าจะไม่ได้ลงสนามในทีมชุดใหญ่เลย และที่สำคัญเราได้เซ็นสัญญา เรามี work permit มีใบผ่านงานจากตรงนั้น ถือเป็นความภาคภูมิใจและโปรไฟล์ของเรา ก่อนที่สุดท้ายจะได้นำมาใช้ในการฝึกซ้อมเด็ก ว่าที่ซ้อมอยู่เนี่ยไม่หนักเลย เบากว่าที่เราเคยเจอมาเยอะ

ทำไมนักเตะไทยชอบ homesick
นิสัยคนไทยชอบโฮมซิก ไปเล่นต่างประเทศแป๊บเดียวก็คิดถึงบ้าน แต่พอเราได้โอกาสลงเล่นต่างประเทศหลายครั้งก็เริ่มคิดว่าถ้าเราจะเป็นนักเตะอาชีพจริงเราต้องอยู่ที่ไหนก็ได้ เราต้องปรับตัว ต้องเรียนรู้ทุกอย่าง ทั้งภาษา ขนบธรรมเนียมประเพณี เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม

จุดหักเหสำคัญคือการไปเล่นที่เวียดนาม?
หลังกลับจากอังกฤษ ก็มีโอกาสเซ็นสัญญากับสโมสรสิงคโปร์ อาร์มฟอร์ซ 2 ปี แต่เราติดภารกิจช่วยทีมชาติที่กำลังอยู่ในช่วงลุ้นไปฟุตบอลโลก ผ่านเข้ารอบ 10 ทีมสุดท้ายของเอเชีย จึงต้องเดินทางกลับมาประเทศไทยบ่อยครั้ง ก่อนจะโดนยกเลิกสัญญาในที่สุด ซึ่งตอนนั้นเราอยู่ในช่วงบั้นปลายอาชีพแล้ว อายุ 29 มีเงินเก็บจากการเล่นบอลมาทั้งชีวิตก็ไม่เท่าไหร่ ประมาณ 8-9 แสน มันได้แค่เกียรติยศ กล่องไม่ได้ แต่อยู่ดีๆ ก็มีทีมฮองอันห์ยาลายจากเวียดนาม มาติดต่ออยากดึงตัวเราไปร่วมทีม เซ็นสัญญา 4 เดือน รับค่าเหนื่อยเดือนละ 10,000 เหรียญสหรัฐ สมัยนั้นก็ประมาณ 400,000 บาทต่อเดือน โดยตอนนั้นเรากำลังจะแต่งงานกับคุณเปิ้ล อัสราภา กำลังจะมีลูก มีครอบครัว อยู่ระหว่างตัดสินใจว่าจะสร้างครอบครัวอย่างไร แต่ถ้าเราเลือกไปเล่นที่เวียดนามเราก็สามารถสร้างรายได้ได้ ถ้าอยู่บ้านเราเล่นเป็นปีสองปียังไม่รู้ว่าจะได้เงินเท่านี้หรือเปล่า จึงตัดสินใจไป ก่อนจะมีการต่อสัญญาเพิ่มจาก 4 เดือน เพิ่มอีก 2 ปี และต่อเพิ่มอีก 2 ปี กลายเป็น 5 ปี
ซึ่ง 5 ปีที่อยู่ที่นั่นเราได้เงินมากมายจากการเล่นฟุตบอล ยอมรับเลยว่าถ้าวันนั้นไม่ไปเล่นเวียดนามก็คงไม่มีเราวันนี้ เพราะเราคงทำมาหากินมีครอบครัวธรรมดา หรือเปิดบริษัทเล็กๆ ที่ไม่รู้ว่าจะเติบโตเหมือนอย่างวันนี้หรือไม่ ทุกสิ่งที่เราได้จากฟุตบอล โลดแล่นมา 20 กว่าปี ใช้แข้งของเราสร้าง มีบ้าน มีรถ มีออฟฟิซ มีครอบครัวที่อบอุ่นจากการเล่นฟุตบอล เรากล้าพูดได้เลยว่าฟุตบอลเป็นสิ่งที่ให้เราทุกอย่าง เราตอบพ่อแม่ที่มองว่าการเล่นฟุตบอลนั้นไส้แห้งได้แล้ว ว่ามันสร้างเกียรติยศชื่อเสียงให้กับเราและประเทศชาติ

แล้วทำไมจึงตัดสินใจกลับมาเมืองไทย
ตอนแรกก็ไม่คิดว่าจะห่างกัน เพราะเซ็นสัญญาแค่ 4 เดือน แต่ไปๆ มาๆ เป็น 5 ปี แล้วคุณเปิ้ลจากที่คิดว่าแต่งงานกันแล้วจะได้อยู่เป็นครอบครัวก็ต้องห่างกัน ซึ่งปีแรกเริ่มมีลูกคนแรก และคนที่สองที่สามตามมาไล่ๆ กัน ซึ่งเขาไม่มีโอกาสไปที่เวียดนามเลย กลายเป็นว่า 5 ปีมันนานนะ แล้วเขาต้องเลี้ยงลูกคนเดียว เราก็เห็นอกเห็นใจ การเลี้ยงลูกคนเดียวก็ยากแล้ว แต่นี่ต้องเลี้ยงถึง 3 คน แล้วชนิดที่ว่าต้องตื่นตลอดเวลา นอนหลับก็ไม่สนิท เราจึงตัดสินใจเลิกเล่นฟุตบอล มาช่วยดูแลครอบครัว โดยบอกตัวเองว่าถ้าเรายังเล่นบอลต่อเราก็จะไม่ได้เห็นพัฒนาการของลูกตอนเป็นเด็ก

เงินที่ได้มา 20 กว่าล้านที่เวียดนามเอาไปทำอะไร
คนเราจะมีความฝันในแต่ละช่วง ช่วงนี้อยากได้บ้าน ช่วงนี้อยากได้รถ ก็จะซื้อให้รางวัลกับตัวเอง ดังนั้นเงินที่ได้มาก็จะเก็บหอมรอมริบ เราแบ่งรับแบ่งจ่ายมาตลอดตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก เล่นทีมชาติใหม่ๆ โดยจะเก็บไว้ 50 เปอร์เซ็นต์ ส่วนอีก 50 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือก็จะแบ่งให้ครอบครัว ส่งเงินกลับบ้านให้พ่อและแม่ 10 เปอร์เซ็นต์ ใช้จ่ายเอง 20 เปอร์เซ็นต์ และอาจจะมีเก็บสำรองไว้กินเที่ยวกับเพื่อน 10 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลืออีก 10 เปอร์เซ็นต์เผื่อไว้อยากจะช้อปปิ้งซื้อของต่างๆ เสื้อผ้า รองเท้า ซึ่งเราทำแบบนี้มาตั้งแต่ได้เงินเดือนละ 2,000 บาท 10,000 บาท 100,000 บาท มาจนถึงทุกวันนี้ โดยในส่วนที่กันไว้เที่ยวกับเพื่อนถ้าเดือนนี้ไม่ได้เที่ยวก็จะเก็บทบไปเดือนหน้า สมมุติว่า 1 ปีไม่ได้เที่ยวเลยก็จะมีเงินเก็บตรงนี้ เช่นเดียวกับในส่วนของเสื้อผ้า ถ้าไม่ได้ซื้อก็จะทบกันไป เราก็จะมีเวลาดูแลเพื่อน สามารถเลี้ยงเพื่อนได้ตลอดโดยที่ไม่ส่งผลกระทบ

เหมือนชีวิตที่ผ่านมาเลือกเส้นทางได้ถูกต้องตลอด
สำหรับเรามันเป็นทาง 2 แพร่ง 3 แพร่งตลอด ช่วงที่เลือกตัดสินใจมันก็มีอะไรหลายๆ อย่าง เช่น ตอนหนีออกจากบ้านที่จังหวัดขอนแก่นมา ก็เพราะเอนทรานซ์ไม่ติด ซึ่งถ้าเราเอนทรานซ์ติดชีวิตคงไม่ใช่แบบนี้ อาจเป็นครู เป็นนักวิทยาศาสตร์ตามคณะที่เลือกไป แต่เราเลือกเล่นฟุตบอล ส่วนเรื่องเรียนก็ไม่ได้ทิ้ง มาเรียนต่อที่พณิชยการกรุงเทพ สายบัญชี ต่อด้วยมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ คณะบริหารการจัดการ รวมถึงเรียนมหาบัณฑิต สาขาการจัดการการกีฬา ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม และมีโอกาสรับราชการเป็นตำรวจ 4-5 ปี ติดยศพันตำรวจโท

เคยทำให้พ่อแม่เสียใจด้วย?
ตอนนั้นเราต้องตัดสินใจว่าจะรับราชการต่อหรือไปเล่นที่อังกฤษ ก่อนสุดท้ายจะตัดสินใจลาออกจากราชการ ดาวหลุดจากบ่าสองดวง พ่อกับแม่ร้องไห้เลย เพราะท่านเป็นข้าราชการครูเต็มตัว ท่านเกษียณอายุราชการแล้ว ยิ่งเป็นคนต่างจังหวัดด้วย จึงอยากให้เรามีความมั่นคง แล้วก็ไม่รู้ว่าต้องใช้เงินกี่ล้านจึงจะเข้าเป็นตำรวจได้ แต่เราตัดสินใจภายในวันเดียวเพราะเราอยากไปเล่นฟุตบอลอาชีพ ไม่ง่าย แต่เราเป็นคนตัดสินใจเร็ว คิดว่ามั่นใจแล้วก็ตัดสินใจทันทีเลย เพราะเราคิดว่าเรามาจากศูนย์ เราจะไปกลัวอะไร ถ้าชีวิตมันจบสิ้นจากการตัดสินใจของเราเพราะความห่วยแตก ไม่ได้เรื่อง เราก็ต้องยอมรับกับมัน ฉะนั้นเราต้องเตรียมความพร้อมกับทุกสถานการณ์ เราจะมีความทุ่มเทกับทุกทางที่เราตัดสินใจ จะไม่มองข้างหลังว่าตัดสินใจผิดพลาดหรือเปล่า แต่จะใช้วิธีเดินหน้าสู้กับมันทุกสถานการณ์ ต้องมีความเชื่อ อย่าลังเล ใส่เกียร์เดินหน้าร้อยเปอร์เซ็นต์

อะไรที่เป็นสิ่งที่ทำให้ยืนระยะสร้างชื่อเสียงได้ถึงทุกวันนี้
สิ่งที่สำคัญที่สุดเลยคือความมุ่งมั่น ตั้งใจจริง แล้วเรามีคนรอบข้างที่ไว้วางใจ มีบริวารที่ดี และมีกำลังใจจากพ่อแม่ ครอบครัว เพื่อนฝูง พวกเขาจะแสดงความดีใจกับเราตลอดเวลา ไม่ต่อว่า ตอกย้ำหรือซ้ำเติมเวลาที่เราเสียใจ เราจะมีเพื่อนเยอะในทุกๆ วงการ ทุกๆ ที่ เพราะเราเชื่อว่าเรามีแต่ให้ ทั้งในเรื่องการพูดคุย เรื่องจิตใจ และหลายๆ อย่าง

มีวิธีดูแลร่างกายอย่างไร
หลังจากเลิกเล่นฟุตบอลเราก็จะมีโปรแกรมออกกำลังกายของตัวเองทุกวัน วันละ 1 ชั่วโมง เช่น ปั่นจักรยาน วิ่งสปีดในซอย หรือเล่นเวตเทรนนิ่ง ซึ่งเรามีจักรยานออกกำลังกายอยู่ที่บ้านตั้งแต่สมัยเป็นนักเตะแล้ว และได้บอกน้องๆ ตลอดว่าเราจะต้องรู้จักลงทุนเพื่อตัวเอง สมมุติว่าวันนี้เราไม่สามารถเดินทางไปออกกำลังกายตามคลับได้ แต่ถ้าเราซื้ออุปกรณ์ออกกำลังกายมาไว้ที่บ้านก็จะทำให้ได้ออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งผมให้ความสำคัญกับการเล่นเวตเทรนนิ่งมากที่สุด เพราะจะช่วยยืดอายุการใช้งานของร่างกาย โดยพื้นฐานของนักฟุตบอลทั่วไปช่วงพีคจะอยู่ที่อายุ 25-30 หลังจากนั้นก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนว่าดูแลร่างกายมาอย่างไร อย่างตัวเราเน้นเรื่องนี้มาตลอดตั้งแต่ตอนไปเล่นที่อังกฤษ พอช่วงจะเลิกเล่นได้ไปต่อที่เวียดนามตอนอายุ 29 ก็สามารถยืดอายุการเล่นให้เราได้ถึงอายุ 34 และสามารถทำเงินให้เราได้ หากคุณเริ่มเล่นเวตเทรนนิ่งตั้งแต่วัยรุ่นเหมือนอย่างเมสซีเจ (ชนาธิป สรงกระสินธ์) และนักบอลคนอื่นๆ ก็จะช่วยยืดระยะร่างกายได้มากขึ้นไปอีก

ทำไมถึงต้องตีลังกา และมีครั้งไหนที่ยิงได้แล้วไม่ทำบ้าง
สมัยเด็กๆ เราเป็นนักยิมนาสติกมาก่อน พอมาเล่นฟุตบอลแล้วยิงประตูได้ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร จึงระบายความสะใจออกมาด้วยการตีลังกา พอพี่ๆ นักข่าวเห็นก็ตั้งฉายาให้เราว่า 'ซิโก้จอมตีลังกา' และก็ตีลังกาหลังจากยิงได้ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ซึ่งเราตีลังกาทุกครั้งที่ยิงได้ไม่ว่าจะเป็นบอลอะไรก็ต้องทำ แทบจะไม่มีครั้งไหนที่ยิงประตูได้แล้วจะไม่ตีลังกา เพราะคนอยากให้เราทำ ถ้าไม่ตีลังกาไม่ใช่ซิโก้ ทุกวันนี้ไปเล่นแมตช์กระชับมิตรทีมวีไอพี หรือเล่นฟุตซอล ก็ยังต้องตีลังกาเลย นอกเสียจากตอนเป็นโค้ชแล้วมีแฟนบอลเรียกร้องอยากเห็นตีลังกา เราก็ไม่ทำ เพราะมันไม่ใช่ คาแร็กเตอร์เราต้องยิงประตูก่อนจึงจะตีลังกา อยู่ดีๆ จะมาให้ทำก็ไม่ใช่

เวลาว่างส่วนใหญ่ทำอะไรบ้าง
เวลาว่างส่วนใหญ่ก็จะอยู่กับครอบครัว พาลูกสาว 3 คน (น้องเพิร์ธ น้องพราวด์ และน้องเพิร์ล) ไปเที่ยว กินข้าว ดูหนัง ตามประสาทั่วไป เพราะที่ผ่านมาเราไม่ค่อยมีเวลาให้ ยิ่งตอนนี้เป็นโค้ชทีมชาติด้วยแล้วก็ยิ่งไม่ค่อยมีเวลา โดยพยายามจะไปส่งลูกที่โรงเรียนตอนเช้าทุกวัน ส่วนตอนเย็นก็ต้องให้เป็นหน้าที่ของแม่ เพราะเราต้องคุมทีมซ้อม นอกจากนี้ยังต้องช่วยคุณเปิ้ลบริหารงานบริษัท สปอร์ต ฮีโร่ จำกัด ซึ่งตั้งขึ้นเพื่อดำเนินการประชาสัมพันธ์ด้านกีฬาฟุตบอล ผลิตรายการโทรทัศน์ และจัดการแข่งขันต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ ส่วนหากว่างจริงๆ อยู่คนเดียวก็จะนอนฟังเพลง เล่นกีตาร์อยู่บ้าน

เป็นสาวกลิเวอร์พูลตัวยง?
เราชอบ เชียร์ลิเวอร์พูลมาตั้งแต่ยุค 80s สมัย Peter Beardsley, John Barnes และ Ian Rush ซึ่งเราเชียร์เพราะความเป็นทีม ความเป็นลิเวอร์พูล ไม่ได้เชียร์ที่ตัวบุคคล ดังนั้นทีมจะทำผลงานได้ดีไม่ดีอย่างไรเราก็ยังคงเชียร์อยู่ เหมือนกับทีมชาติไทยที่มีนักเตะเข้า-ออก ยิ่งเมื่อมีคนรู้เวลาไปไหนมาไหนเขาจะซื้อของมาฝากจนกลายเป็นของสะสมอยู่ที่บ้าน เช่น เสื้อแข่ง ผ้าพันคอ ที่โกนหนวด หรือที่ใส่ข้อมือ

ของสะสมอื่นๆ มีอะไรบ้าง
ผมก็ไม่ได้เป็นคนที่สะสมอะไรเป็นพิเศษ นอกจากสิ่งของเกี่ยวกับลิเวอร์พูลส่วนใหญ่ก็มีพระ แต่ไม่ได้หมายความว่าเราเป็นนักเลงพระนะ ที่สะสมพระเพราะเวลาเราไปไหนก็มีแต่คนให้พระมา เราเป็นชาวพุทธชอบเข้าวัดและใช้ธรรมะในการดำเนินชีวิตอยู่แล้ว เราจึงสะสมที่เขาให้มาบูชาเก็บไว้ที่บ้านและออฟฟิซ

ทำไมถึงเลือกขับรถ Porsche
เราไม่ได้เจาะจงว่าจะต้องเป็นยี่ห้อปอร์เช่ จริงๆ เราเป็นคนชอบความเร็วอยู่แล้ว ชอบรถเท่ๆ เหมือนเด็กผู้ชายทุกๆ คน อาจจะเป็นเพราะเราเป็นศูนย์หน้าที่ต้องมีสปรินเตอร์ด้วยหรือเปล่าก็ไม่รู้ ตั้งแต่ติดทีมชาติมาก็จะมีช่วงเวลาซื้อรถของตัวเอง โดยคันแรกเป็นรถสปอร์ต Mitsubishi SD ราคาประมาณ 5-6 แสนได้ ซึ่งได้ส่วนลดเพิ่มจากการติดทีมชาติอีกด้วย แต่ขับได้ไม่นานก็ขายให้พี่สาวต่อ โดยเรามีความฝันต่อว่าอยากได้รถ BMW พอตอนอายุ 20 ก็ซื้อรุ่น 318I มาใช้ ใช้ตอนช่วงอายุ 20-30 ปี และก็มีความฝันต่อว่าอยากเปลี่ยนรถทุกๆ 10 ปี จากนั้นอายุ 30-40 เปลี่ยนมาใช้ Benz E220 CDI เพราะดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ทีนี้ก็มีความฝันอยากขับปอร์เช่ก็เลยซื้อเมื่อตอนอายุ 40 เพื่อวางแผนใช้ถึงอายุ 50

ทำไมต้องเปลี่ยนรถทุกๆ 10 ปี
เพราะมองว่าเราใช้ร่างกายเราเดินทางไปทุกสถานที่ ดังนั้นต้องปลอดภัย การเปลี่ยนรถใหม่ก็จะได้สมรรถนะที่ดีขึ้น แต่ก็จะซื้อตามอำนาจความสามารถของเงินที่มีจากการเก็บหอมรอมริบ เปลี่ยนไปตามสภาวะความชอบที่เราสามารถซื้อได้ แต่ต้องไม่เกินตัว เราเก็บเงินมาเพื่ออะไร เราทำงานมาตลอดทั้ง 10 ปี เราก็ต้องให้รางวัลแก่ตัวเองบ้าง และเราก็วางแผนมาตลอดว่าจะเปลี่ยนใหม่ทุกๆ 10 ปี ซึ่ง 10 ปีมันนานนะ เราจะต้องเอาตัวไปทำงานและต้องปลอดภัย จึงเห็นได้ว่าเลือกใช้รถยุโรปมาตลอด เพราะโครงสร้างแข็งแรง ปลอดภัยต่อตัวเราและครอบครัว บางคนอาจมองว่าเราได้แชมป์ซีเกมส์หรือเปล่าถึงได้มีเงินมาซื้อรถ ซึ่งไม่เป็นความจริงเลย เราไม่สามารถซื้อรถใหม่ได้ทุกเดือนทุกปี เราต้องใช้เงินในการเก็บมัน 10 ปี ไม่ได้หมายความว่าเรามาเป็นโค้ชทีมชาติและเราจะได้รถ มันไม่ใช่

ขับรถสปอร์ตแสดงว่าต้องเป็นขาซิ่ง?
ไม่เลย เพราะเรามองว่ารถเร็วเราทำช้าได้ แต่รถช้าเราไปเหยียบเร็วมันจะอันตราย เราซื้อรถมาเพื่อที่จะนำพาเราไปสู่จุดหมายอย่างปลอดภัย แต่เราจะไม่ใช่พวกขับซิ่ง ยิ่งมีครอบครัวมีลูกด้วยแล้ว จากสมัยก่อนวัยรุ่นขับบีเอ็มดับเบิลยูเหยียบ 150-170 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มาเบนซ์ปุ๊บก็เหลือ 130 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พอมาปอร์เช่ที่สามารถขับได้ถึง 220 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่เรากลับวิ่งแค่ 110 กิโลเมตรต่อชั่วโมง กลายเป็นว่าเครื่องแรงขึ้นแต่เราขับช้าลง

มีปอร์เช่ 2 คัน?
มีคันเดียว คงมีไม่กี่คนที่ซื้อมาใช้พร้อมกันถึง 2 คัน เพียงแต่ตอนแรกเป็นรุ่น Cayman เป็นรถสปอร์ตนั่งได้ 2 คน ที่ซื้อมาก็เพราะแค่ความอยากเฉยๆ อยากได้ แต่พอลองดูแล้วก็พบว่ามันไม่เหมาะกับเราแล้ว วัยนี้ไม่เหมาะที่จะขับรถสปอร์ตแล้ว เพราะว่าเวลาไปไหนมาไหนก็ต้องไปเป็นครอบครัว ดูประโยชน์การใช้งาน ถ้าเรามีรถราคาแพงๆ และทุกคนสามารถใช้ได้มันก็จะคุ้ม จึงเปลี่ยนมาเป็นรุ่น Macan S ราคาประมาณ 7,500,00 บาท ซึ่งเป็นโมเดลใหม่ที่สามารถนั่งได้หลายคน และก็ไม่ใหญ่เกินไปเหมือนรุ่น Cayenne

ตอนนี้มีรถทั้งหมดกี่คัน
ตอนนี้มี 3 คัน เบนซ์ที่ใช้ก่อนหน้านี้เราไม่ได้ขาย เก็บไว้ใช้สแตนด์บายให้ครอบครัวใช้ซื้อของ แล้วก็มีรถตู้ Volkswagen สำหรับส่งลูกไปโรงเรียน เพราะเรามีลูก 3 คน เช้าๆ พวกเขาต้องการพื้นที่ โดยส่วนใหญ่จะให้ภรรยาขับไปรับลูกตอนเย็นแทน เพราะเราต้องใช้รถอีกคันขับไปคุมซ้อม ก็ถือว่าไม่ได้เยอะหรือน้อยเกินไป โดยทุกคันเป็นสีดำทั้งหมดเลย เพราะสีบรอนซ์ก็ดูกลางๆ แต่เราเป็นผู้ชาย เลือกรถสีดำก็ดูดุ ดูเข้มหน่อย แต่การรักษาจะยาก ดังนั้นเราจึงเป็นคนล้างรถเอง ว่างเมื่อไหร่ก็จะมาขัดมาถูเองประจำ ไม่ค่อยเอาเข้าศูนย์ เพราะเราจะได้คลุกคลีกับมัน ได้ดูว่าตรงไหนถลอกขูดขีดไหม รถเราก็จะใหม่ตลอดเวลา

แล้วตอนอายุ 50 จะขับรถอะไร
คงบอกไม่ได้ เพราะไม่รู้เหมือนกัน มันเป็นความฝันในแต่ละช่วง อาจจะไปขับโตโยต้า หรืออะไรก็ได้ แต่เราจะมีเป้าหมายที่สูงขึ้นตลอดเวลา ไม่ปล่อยเวลาไปเรื่อยๆ ให้เสียเปล่า แต่ถ้าได้อยู่ในระดับที่โอเคก็พอแล้ว เพราะรถก็คือรถ จุดมุ่งหมายของมันก็คือพาเราไปถึงที่หมายอย่างปลอดภัย ไม่จำเป็นว่ามีรถราคาแพงแล้วจะทำให้เราดูดีขึ้นมา

5 เกร็ดน่ารู้ของ 'ซิโก้'
ทะเบียนรถหมายเลข 13 ทุกคัน : นอกจากซิโก้จะชื่นชอบรถสปอร์ตสีดำคมเข้มแล้ว เจ้าตัวยังเลือกใช้ทะเบียนรถหมายเลข 13 ซึ่งเป็นเบอร์เสื้อประจำตัวสมัยค้าแข้งรถทุกคันอีกด้วย แต่หากใครเห็น 'Porsche Macan S' คันปัจจุบันไม่ได้ติดหมายเลข 13 ก็ไม่ต้องแปลกใจ เพราะเจ้าตัวกำลังรอป้ายทะเบียนอยู่

แลกเสื้อกับแข้งดังระดับโลก : เป็นธรรมเนียมที่หลังจบเกมจะต้องมีการแลกเปลี่ยนเสื้อกันเพื่อเป็นที่ระลึก โดยเสื้อที่ซิโก้ชอบและประทับใจที่สุดคือเสื้อของ Sami Hyypiä ปราการหลังทีมลิเวอร์พูล ทีมโปรดของตน สมัยที่หงส์แดงยกทัพมาอุ่นเครื่องที่ประเทศไทย นอกจากนี้เจ้าตัวยังมีเสื้อของ Luis Figo ที่พาเรอัล มาดริด มาอุ่นเครื่องเช่นกัน

เทใจให้ Adidas : มีแบรนด์กีฬามากมายที่ยื่นข้อเสนอให้กับซิโก้ไปเป็นพรีเซ็นเตอร์ แต่เจ้าตัวก็มองข้ามพร้อมเทใจให้กับอาดิดาสมาโดยตลอดตั้งแต่สมัยเป็นนักเตะเรื่อยมาจนถึงเป็นโค้ชในปัจจุบัน โดยให้เหตุผลว่าใช้แล้วรู้สึกมั่นใจ

เป็นคนมุ่งมั่นและมีระเบียบสุดๆ: หากถามคนใกล้ชิดถึงตัวกุนซือวัย 41 ปีรายนี้ ทุกคนพร้อมใจบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ซิโก้มีความทุ่มเท มุ่งมั่น และที่สำคัญยังมีความเจ้าระเบียบสุดๆ เห็นได้จากวินัยในการทำกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวันของตัวเองที่ไม่เคยบกพร่อง

จารึกประวัติศาสตร์ : ซิโก้จารึกประวัติศาสตร์ลูกหนังไทยด้วยการเป็นคนแรกที่คว้าแชมป์อาเซียนคัพได้ทั้งการเป็นผู้เล่นและโค้ช อีกทั้งยังเป็นกุนซือสัญชาติไทยคนแรกที่พาทัพ 'ช้างศึก' จบอันดับ 4 ในรายการเอเชียนเกมส์ หลังจากที่ผ่านมาเป็นโค้ชชาวต่างชาติมาโดยตลอด

เรื่อง : ชมณัฐ รัตตะสุข
ภาพ : อิศเรศน์ ช่อไสว

user's Blog!

49/1 ชั้น 4 อาคารบ้านเจ้าพระยา ถนนพระอาทิตย์ แขวงชนะสงคราม เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200

49/1 4th floor, Phra-A-Thit Road, Chanasongkhram,Phanakorn Bangkok 10200

Tel. 02 629 2211 #2256 #2226

Email : mars.magazine@gmail.com

FOLLOW US ON

SUBSCRIBE