“ตำรวจไม่จับ ครูไม่ตี แม่ไม่ด่าก็ทำไปเถอะ” หลักสูตรชีวิตว้าวๆ แบบ ‘จอน นอนไร่’


ชีวิตของ ‘ตุ้ย-เสกสรรค์ อุ่นจิตติ’ มีหนังสือสองเล่ม เล่มแรกเขาคือนักโฆษณามือฉมังที่เคยกวาดรางวัลมาแล้วมากมาย ทำงานมายาวนานกว่า 30 ปี และก้าวไปสู่จุดสูงสุดของอาชีพในฐานะ MD บริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีค่าตัวหลายแสนต่อเดือน “อย่าไปสนใจเลย มันผ่านไปแล้ว อย่าหลงกับความสำเร็จเดิมๆ” เขาว่าอย่างนั้น

อีกเล่ม เขาเขียนขึ้นมาใหม่โดยแตกตัวเป็นสองภาค ภาค ‘ตุ้ย’ ทำหน้าที่คิด ส่วน ‘จอน นอนไร่’ ลงมือทำ อาจจะดูเหมือนเพี้ยน! แต่ทั้งคู่ช่วยกันทำเกษตรอินทรีย์จากนับศูนย์จนกลายเป็น ‘food maker’ และ ‘food craft’ อันดับต้นๆ ของไทย ปลูกผักแปลกๆ จากเมืองนอกในแถบโคราช แต่อร่อยชะมัดยาดจนร้านอาหารชั้นนำต้องสั่งจองล่วงหน้าเป็นเดือน

แม้ ‘เนื้องาน’ จะดูต่าง แต่ ‘เนื้อหา’ เขาว่าเหมือนกันทั้งคู่ แค่ใช้สิ่งที่มีอยู่ในตัวเองให้เกิดศักยภาพสูงสุด ตุ้ยเชื่อว่าทุกคน ทุกอาชีพ ไม่ว่าราศีอะไรก็ทำได้ แค่ใช้ ‘สิ่งที่มีอยู่’ ในตัวให้เป็น
แล้วจะใช้มันยังไงล่ะ? ลองไปฟังเขาดู

เปลี่ยนตัวเองให้ได้
“ผมเริ่มปลูกผักจากความตะกละ” เขาพูดขณะแพ็คจิงจูฉ่ายและเคล (Kale-คะน้าฝรั่ง)เตรียมส่งลูกค้า ซึ่งจะมีรถห้องเย็นมารับถึงไร่ ก่อนจะไปส่งต่อยังร้านอาหารชั้นนำ

“ผมจะล่าทุกอย่างที่เขาว่าอร่อย อย่างราดหน้าก็มีแค่ 5 ที่เองในประเทศไทย ก๋วยเตี๋ยวเนื้อก็มีแค่ 3 ร้าน ผมเชื่อว่าเราเป็นคนไม่ใช่จระเข้ เรามีลิ้นไว้กินของดี ไม่ใช่เลียคน กินมันคือความสุขสำหรับผม เมื่อปลูกผักผมก็ตามหาของอร่อยเช่นกัน”

วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ อดีตบรรณาธิการนิตยสารสารคดี เขียนบทความออนไลน์เล่าเรื่องราวของเพื่อนเก่าคนนี้สมัยร่วมชายคาโรงเรียนอัสสัมชัญเอาไว้ราวๆ ว่า

‘ตุ้ยชอบไปตามชนบท ตื่นมาดูตลาดเช้า และเห็นแม่ค้าเอาผักพื้นบ้านมาขายหลากหลายชนิดเหลือเกิน โลกนี้มีพืชผักมากมายที่ไม่รู้มาก่อน ไปดูสวนผักชาวบ้านหลายแห่ง มันสวยและดีงาม เลยสนใจปลูกผักกินเอง’

แต่ที่เราได้ยินกับหูมันเข้มข้นกว่านั้น
“จุดเปลี่ยนเหรอ? บังเอิญ! เรื่องบังเอิญทั้งนั้นผมไม่ได้รักโลกบ้าบอนะ โลกเดี๋ยวแม่งก็แตก ผมเคารพคนที่คิดจะเปลี่ยนโลก แต่ผมไม่ยึดถือวิถีเหล่านั้นเลย ผมชอบการเปลี่ยนแปลง แต่ไม่รู้จะเปลี่ยนแปลงใคร คนที่เขาไม่อยากเปลี่ยนแปลงเขาก็ไม่เปลี่ยนแปลง สังคมที่มันทะเลาะกันเละเทะเพราะเห็นไม่ตรงกัน ฉะนั้นคุณอย่าไปนั่งเปลี่ยนผู้อื่น จงทำของตัวเองให้มันเป็น The best

“มนุษย์เราเหมือนมีหนังสือหลายเล่ม 3-4 ปีก่อนก็จะเป็นหนังสือเล่มหนึ่ง ผมปิดเล่มนั้นแล้วผมก็ขึ้นเล่มใหม่บทใหม่ คนเราจะมีหนังสือกี่เล่มก็ได้ คนไม่จำเป็นต้องรู้ว่าผมเคยเป็น MD โฆษณา เพราะว่ามันผ่านไปแล้ว สายการเมืองเขาบอกว่ามันจบแล้วนาย อย่าไปชื่นชมความสำเร็จเก่าๆ มาโฟกัสความตื่นเต้นในบทใหม่ที่มันอยู่ตรงหน้าแล้วคุณเล่นมันอยู่”

ใช้อารมณ์ให้เป็น


  “ผมใช้ความโกรธมาขับเคลื่อน ผมจะอาฆาต ผมชอบเอาชนะ แต่ขณะเดียวกันก็ยอมแพ้ง่ายๆ ดื้อๆ ถ้ายังไปต่อไม่ได้ แต่อย่าให้กูว่างเมื่อไหร่นะกูทำแน่”
 
อย่าเพิ่งคิดว่าตุ้ยจะไปรบราฆ่าฟันกับใคร ชายตัวเล็กๆ แต่ใจใหญ่คนนี้หมายถึงการปลูกผักยากๆ ที่น้อยคนนักจะปลูกได้ในบ้านเรา

‘จอน นอนไร่’ ที่นอกจากจะเป็นชื่อฟาร์มแล้ว ยังหมายรวมถึงอวตารอีกด้านของเขา ซึ่งทั้งคู่จะเชื่อมโยงทำสิ่งต่างๆ ร่วมกัน กลางคืน ‘ตุ้ย’ คิด กลางวัน ‘จอน’ ลงมือทำ ภายใต้แนวทางเดียวกัน ‘ไม่แปลก ไม่ปลูก’ และ ‘ไม่อร่อย ปาทิ้ง’

บ้าไปแล้ว! หลายคนอุทาน แต่เราทุกคนก็ล้วนพูดคุยกับตัวเองอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันไม่ใช่เหรอ?

“เวลาที่ผมจะทำอะไรบางอย่างจะมีสองด้าน ไอ้จอนมันอยากปลูกฉิบหาย ปลูกไม่ได้ก็อยากเอาชนะ แต่ไอ้ตุ้ยก็บอกว่ามึงเลิกเล่นได้แล้ว มึงทำสิ่งที่ตลาดต้องการ ถึงมึงทำได้มึงค่อยไปเล่นต่อ นี่ผมบอกตัวเองได้ไง ผมก็กลับมาทำงานหาเลี้ยงธุรกิจก่อน คุณต้องมีเงิน อย่าโลกสวย แต่ถ้าธุรกิจมันอยู่ตัวก็กลับมาเล่น ใช้มันเป็นตัวขับเคลื่อน

“เห็นไหมว่าคุณต้องเรียงลำดับความสำคัญ 1-2-3 ถ้าไม่มีอะไรซีเรียสก็เล่นเต็มที่ ลองของใหม่ ถ้าจะทำงานสิ่งหนึ่งสิ่งใดคุณต้องเข้าใจ คุณต้องรู้กระทั่งมันมาจากที่ใด ใช้ทฤษฎีย้อนแม่น้ำเต็มไปหมดเลย ไม่ใช่สักแต่ปลูก

“จงใช้ความรักกับความบ้าคลั่ง คุณทำให้มันดีไม่ได้ถ้าคุณไม่รักมัน ผมปลูกต้นไม้เพราะผมรักมัน”

เปลี่ยนสนามได้ แต่อย่าให้ความรู้เดิมสูญเปล่า


บางคนอาจคิดว่าความสำเร็จของตุ้ยในฐานะ food maker และ food craft ในวันนี้ เพราะเขามีพื้นเกษตรมาก่อน เปล่า! ติดศูนย์มาโด่ๆ เลย แต่ใช้ลิ้น สมอง และใจ ไต่บันไดไปเรื่อยๆ

“ผมไม่ได้เรียนเกษตรนะ ผมเรียนดีไซน์มา(มัณฑนศิลป์มหาวิทยาลัยศิลปากร) แต่ทุกๆ คนในโลกนี้สามารถปลูกต้นไม้ได้ นักบิน นายแบงก์ก็ปลูกได้ ถ้าเขามี DNA ความรักธรรมชาติบางอย่างอยู่ถ้าคุณไม่รักต้นไม้ ไม่รักพืชผักคุณจะทำมันออกมาไม่ได้ดี จริงๆ แล้วผักมันเป็นการกระทำใหม่ของผมนั่นเอง ผมเปลี่ยนสนามจากจอดิจิตอลมาเป็นดินและพืชพันธุ์ ความคิดสร้างสรรค์เหมือนเดิม

“ผมใช้ทฤษฎี what when where why who how มาปลูกผัก ไม่ได้เปลี่ยนระบบคิดอะไร เอารากเหง้าระบบคิดบางอย่างมาสวมในสิ่งที่เราทำ

“ทำงานจนเป็นมันไปเลย เป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งที่ทำ พอเป็นหนึ่งเดียวแล้ว สิ่งที่คุณคิดคือ ลูกเรามันรัก มันเกลียดอะไร แล้วแต่ละอย่างก็เกลียดไม่เหมือนกัน พืชหรือผักเป็นสิ่งมีชีวิตที่เก่าแก่ มันรู้สึกได้ แต่มันไม่มีขาเดินได้ มันพูดไม่ได้ เป็นไอ้ใบ้ที่ทรงพลัง มันเป็นอาหารของโลก มันเป็นเรื่องตรรกะและจินตนาการผสมกัน ซึ่งผมผสมได้ ผมโรคจิตอยู่แล้ว”

ตรรกะมากก็แข็งโป๊ก จินตนาการเยอะก็เลื่อนเปื้อน


ในตอนนี้เราไม่แน่ใจว่ากำลังพูดอยู่กับตุ้ย หรือจอน แต่ที่แน่ๆ เขาว่านักคิดระดับโลกก็มีผิดพลาดในบางเรื่อง
“ไอน์สไตน์พูดผิด เรื่องจินตนาการสำคัญกว่าความรู้ จริงๆ แล้วจินตนาการต้องควบคู่ความรู้ ตัวอย่างเรื่องหนึ่งคือเคสถ้ำหลวง เหตุการณ์นี้มันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ความน่าจะเป็นมันเต็มไปหมด เคสถ้ำหลวงเป็นประสบการณ์ทำงานอันยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ ที่มันทำงานครึ่งๆ กัน ระหว่างจินตนาการกับความรู้

“มนุษย์เราพอมีตรรกะมากก็จะแข็ง ถ้าจิตนาการเหลือเฟือก็จะเละ สองสิ่งนี้ถ้าเราสมดุลได้เมื่อไหร่จะลงตัว ผมเป็นคนแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก คนประเภทนี้อีกนิดเดียวก็จะบ้า แต่สำหรับผม ควบคุมสมองซีกซ้ายซีกขวาได้ครึ่งๆ พอดี

“ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณไม่ใช้ตรรกะอะไรเลย ไม่ใช้วิทยาศาสตร์ ไม่ใช้ความรู้ คุณจะฉิบหาย เลื่อนเปื้อนกันเพราะดีแต่พูด แต่ถ้าคุณจินตนาการดีแต่ไม่มีการศึกษาก็ขาลอย

“ส่วนพวกที่มีความรู้มากก็น่าเบื่อ น้ำเน่าเพราะมีแต่ความรู้ชุดเดิม ใครคิดไม่เหมือนกูเอาไปตัดหัว ความรู้ประเภทนี้เป็นความรู้ที่นิ่ง ไม่ยอมผสมผสานสิ่งใหม่ เอาแต่จะเปลี่ยนแปลงแต่ไม่มีความรู้ ถ้าให้ดี เล่นอย่างรู้คิด แล้วมันจะได้สิ่งใหม่จากตรงนั้น เล่นกับมัน ตกกระไดกับมันบ่อยๆ มันก็จะเริ่มรู้จริง เพราะคุณลงลึก คุณล้มเหลวได้อีก”

ล้มแหละดี จะได้มีความรู้ใหม่


ถ้าคุณเคยเข้าร้านหนังสือใหญ่ๆ จะเห็นเลยว่ามีหนังสือหมวดหมู่ how to อยู่เต็มไปหมด เป็นเคล็ดลับต่างๆ ที่สอนเราในทุกๆ เรื่อง ซึ่งขายดีอย่างสม่ำเสมอ นั่นเพราะเราทุกคนชอบแสวงหาทางลัดและเคล็ดลับ แต่ไม่ใช่กับตุ้ย

“ผมส่งเสริมให้ตกกระได ผมสอน แต่ไม่บอก tip เพราะเมื่อให้ tip ไปคุณจะไม่เกิดความรู้ใหม่tip มันทำให้หนังสือกลเม็ดเคล็ดลับขายดี ซึ่งก็ไม่ผิด แต่ผมไม่ให้เพราะจะได้เรียนรู้ เข้าใจเรื่องแก่น ก่อนเปลือก นั่นคือวิธีของผม

“ใครมาหาผม เขาจะถามแบบ พี่จอนๆ ทำยังไงถึงปราบหนอนแมลง ทำยังไงผักอร่อย ทุกคนจะเอา how แต่ไม่มีใครถาม what when where why who ไม่ค้นหาก่อนจะไปถึง how

“ตัวอย่างเรื่องหนึ่ง น้องดีไซเนอร์เข้ามาหาผม เธอปั้นกาออกมาเป็นงานคราฟท์ สวยเลย เธอถามผมว่า หนูอยากดัง อยากรวย ทำยังไง ผมบอกงี้ยกตัวอย่างว่าชื่อตุ๊กนะ อีตุ๊กกาชุดนี้ให้ราคาเท่าไหร่ อย่างมากผมให้ 500 ผมก็ถามตุ๊กว่า story telling ของแกคืออะไร ตุ๊กบอก หนูก็ใช้ดินอย่างที่เขาปั้นกันน่ะ ทีนี้เราต้องเปลี่ยนสิ่งที่แกทำใหม่ แกเคยคิดที่จะเอาดินสีชมพูที่เวโรนา (เมืองในฉากหลังของวรรณกรรมโรมิโอและจูเลียต ประเทศอิตาลี) มาปั้นไหม เคยคิดจะเอาดินสีเหลืองที่แม่น้ำฮวงโหมาปั้นไหม เอามาเป็นส่วนประกอบให้กับงานที่มึงทำไหม มันบอกไม่เคยคิดเลย

“โลกใบนี้เขาฮิตกันมานานแล้วก็คือ story telling มันไม่ใช่เรื่องของเปลือก แต่เป็นเรื่องของแก่น”

ทำลายตัวเองอย่างสร้างสรรค์

“ผมชอบทำลายตัวเอง” นอกจากตุ้ยจะชอบฆ่าคนโน้นคนนี้ในวงการผักแล้ว (หมายถึงเอาชนะด้านคุณภาพและรสชาตินะ ไม่ได้ฆ่าแกงกันจริงๆ) เขายังชอบทำลายตัวเอง นั่นคือทำลายมาตรฐานเก่าๆ เพื่อก้าวไปสู่สิ่งใหม่ที่ว้าวกว่า
“มนุษย์เรามีหลุมดำในตัวเองคือปฏิเสธต่อกัน เช่น คนโบราณก็จะว่าคนสมัยใหม่ไม่ได้เรื่อง อย่างไปถามลุงต่างจังหวัดเขาจะบอกว่า ปลูกกล้วยคู่กับมัน ฝรั่งเรียกสิ่งนี้ว่าสิ่งมีชีวิตสองสิ่งที่เกื้อกูลกัน เช่นปลูกมะเขือเทศก็ต้องคู่กับแครอท เพราะมันจะทำให้ดินร่วนซุย

“คุณต้องเชื่อมความรู้ว่าทำไมมีสิ่งนั้นแล้วจึงมีสิ่งนี้ คุณต้องเชื่อมต่อมันให้ได้ ผมเป็นคนประหลาดคือก่อนทำเกษตรผมจะดูโลกเก่าก่อน ไปเรียนรู้ ไปฟัง ผมไม่ชอบเรียนกับคนเก่ง คนดัง แต่เราจะไปหาชาวบ้าน เพราะเขาประดิษฐ์นวัตกรรมจากชีวิต ชาวบ้านเก่งในเรื่องแก้ปัญหา นักวิชาการบอกว่าต้องแก้ 1-2-3-4-5 แต่ชาวบ้านแก้นิดเดียวเสร็จแล้ว เป็นการแก้ปัญหาคนละมุม ผมไม่ได้เอียงไปด้านใครนะ แต่เลือกเอามาใช้อย่างเหมาะสม

“ผมมีทฤษฎีเขา 3 สัตว์ คือมีเขาลูกหนึ่ง ตามิ่งบอกเขาแรด ตาหมูบอกไม่ใช่ เขากระทิง แต่ด้านนี้มิสเตอร์จอนบอกเขาช้าง ทั้งๆ ที่มันเป็นเขาลูกเดียวกัน แต่เห็นเป็นรูปสัตว์คนละตัวเนี่ยโลกเราที่ขัดแย้งมันอยู่ที่มุมที่คุณเห็น ไม่ว่าช้าง กระทิง แรด ไม่มีใครผิด ความรู้ก็เช่นกัน คุณเรียนรู้มันให้รอบด้าน แล้วขยำมันทิ้ง

“คนรุ่นใหม่ชอบทำลายกฎ คนรุ่นเก่าก็ชอบอยู่กับกฎ นี่มันเป็นหลุมดำจักรวาลเลยนะ แต่อย่าลืมว่าพื้นฐานในโลกนี้สำคัญหมด ผมไม่เคยบอกให้ใครแหกกฎ คุณต้องรู้กฎ เพื่อแหกกฎ เมื่อเรารู้หลักที่หมดจดแล้ว เราก็ทำลายมันทีละข้อเพื่อที่จะก้าวสู่สิ่งใหม่ ทำลายแล้วเปลี่ยนสภาพมันให้ได้”

ตำรวจไม่จับ ครูไม่ตี แม่ไม่ด่าก็ทำไปเถอะ

“พี่ๆ ผมอยากเป็นแบบพี่ ทำยังไง?” เป็นคำถามที่ตุ้ยพบบ่อยเวลาใครมาเยี่ยมเยือนดูงาน หรือออกไปบรรยาย ถ้าช่วงไหนแกมีเวลาอธิบายไม่มากพอก็จะเอ่ยสั้นๆ แค่เพียงว่า ‘ตำรวจไม่จับ ครูไม่ตี แม่ไม่ด่าก็ทำไปเถอะ’

“เวลาใครมาหาผม ผมจะสอนให้ทุกคนเป็นดาวฤกษ์ แม้จะเป็นดาวเล็กๆ ก็เป็นดาวของคุณ เป็นระบบเล็กๆ ก็ระบบของคุณ คุณอย่าไปอยู่ในระบบผู้อื่น โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว ทุกวันนี้มันมีเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ ที่จะมารองรับคุณ อยู่ที่ว่าคุณจะใช้กบาลคุณแค่ไหน คุณอย่าโลภสิ คุณอย่าเป็นเห็บเหาจักรวาล เมื่อคุณเป็นศูนย์กลางของระบบเล็กๆ คุณก็กำหนดได้

“วันนี้มันมีความโชคดีและโชคร้าย โชคดีคือโซเชียลมันคือมหาสมุทร คุณจะขายของอะไรไม่ว่ากัน คุณต้องสนใจโซเชียลเพราะมันคือน่านน้ำใหม่ที่คนทุกคนสามารถเห็นของคุณได้ มันเป็นทฤษฎีการทำตลาดและครีเอทีฟคุณต้องมีหลักการ ที่มาที่ไป คุณต้องมีข้อเท็จจริง ข้อเท็จจริงของคุณคืออะไร? หนึ่ง คุณต้องมีตังค์ สอง คุณต้องบอกให้ได้ว่าคุณเป็นอะไร ถ้าคุณเป็นสถาปนิกแล้วอยากปลูกผัก คุณต้องประเดประดังความสามารถที่มีทั้งหมดในงานเก่าใส่เข้าไปในงานใหม่”

ทำงานให้เต็ม 200% ใครเก่งกว่า copy แล้วเอามาปรับปรุง


ในช่วงเวลา 10 กว่าปีที่แล้ว เรามักจะเห็นสินค้า copy จากจีนมากมายหลากหลายแบรนด์แต่วันนี้จีนมีผลิตภัณฑ์ที่เหนือกว่าต้นฉบับในหลากหลายกลุ่มสินค้า นี่คือกลยุทธ์ในการพัฒนา ตุ้ยไม่เชื่อว่าการ copy เป็นเรื่องน่าละอาย แต่เมื่อลอกเลียนแล้วต้องก้าวข้ามไปให้ได้

“ผมส่งเสริมให้คนทำงาน 200% เพราะแค่ 100% คนเก่งในโลกทำอยู่แล้ว ถ้าทำไม่ถึง 100% เปลี่ยนไปทำอย่างอื่นเถอะ ผมส่งเสริมให้เกิดการแข่งขัน การแข่งขันคือการฆ่ากัน การฆ่าจึงเป็นการสร้างสรรค์สำหรับผม ผมส่งเสริมให้คนฆ่ากันไปฆ่ากันมา แนวคิดใหม่ๆ ที่ยิ่งใหญ่เกิดจากการแข่งขัน

“ถ้าเขาอยู่ในระดับ 10 คุณอยู่ระดับ 5 จงฆ่ามันให้ได้ ฆ่ามันคืออะไร สมมุติว่าคุณเป็นนักดนตรี คุณเก่งมาก ผมอยากเก่งแบบคุณ สิ่งแรกที่ผมทำคือ copy ก่อน ในโลกนี้เขา copy กันก่อน เกาหลีบอกจะฆ่าญี่ปุ่น มันก็ copy ก่อน แล้วมันก็ฆ่าญี่ปุ่นได้

“บ้างว่าการ copy มันเป็นเรื่องน่าละอาย โอย! มนุษย์มัน copy ธรรมชาติมาตั้งแต่เกิดแล้ว ยอมรับมันไปเถอะ แต่คุณ copy แล้วไม่ทำลายมันซะ คุณก็ copy ตลอดชีวิต ดูคนจีนสมัยนี้ที่เมื่อก่อน copy เขาเปลี่ยนภาพลักษณ์ใหม่แล้ว อย่างเมืองเสินเจิ้น เมื่อก่อนมันเป็นเมืองแห่งการ copy แต่สมัยนี้มันเปลี่ยนสภาพแล้ว วันนี้จีนเป็นมหาอำนาจ วิชาของโลกสมัยใหม่จะใช้วิธีเรียนรู้และก้าวข้าม

“ทำไมจีนมาพัฒนารถไฟฟ้ากันใหญ่ เพราะมันรู้ว่าอนาคตจะไม่ใช้น้ำมันกันแล้ว นี่คือวิชาอนาคต มันข้ามไปเลย การข้ามมันทำให้คนหาวเรอเบื่อกันไปข้างหนึ่ง ทำไมอีลอน มัสก์ ทำรถไฟฟ้าซึ่งตอนแรกทำให้คนหัวเราะเยาะมันล่ะ มันข้ามไปตั้งนานแล้ว นี่คือการคิด”

ใช้เวลา 5% ทำในสิ่งที่อยากทำ


‘ไม่มีเวลา’ เป็นคำพูดที่หลายคนใช้ติดปาก แต่หากอยากเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งใหม่ ตุ้ยบอกว่า ‘จงมีเวลา’ แม้จะมีน้อยนิดในแต่ละวันก็ตาม

“ในโลกมันมีสิ่งต้องทำและสิ่งที่อยากทำ สมดุลมันให้ได้ บางคนว่าอยากทำแต่ทำไม่ได้ มึงมีข้อแม้เยอะไอ้เอี้ยง มึงใช้เวลาแค่ 5% ทำในสิ่งที่มึงอยากทำสิ ไอ้สิ่งที่ต้องทำก็ทำไป เพราะคุณต้องหาเงิน คุณต้องเสพสุข คุณต้องการสนุก คุณก็ต้องมีเงิน หาสมดุลมันให้ได้

“ตอนทำไร่ใหม่ๆ ผมค่อยๆ สมดุลมัน ผมออกแบบชีวิตตั้งแต่เดินออกมาจากระบบคือเปิดบริษัทเอง ผมรู้เลยว่าปีหนึ่งผมต้องการเท่าไหร่ คุณวางแผนชีวิตได้ คอสต์ชีวิตคุณเท่าไหร่ เมื่อคุณวางแผนคุณจะรู้เลยว่า คุณจะหาอะไรเท่าไหร่มารองรับ อย่าเอาแต่ติสต์แตกถ้าจะออกมาอินดี้จานข้าวต้องมั่นคง ค่อยเปลี่ยนผ่านมัน เอาเงินจากโฆษณามาลงที่ผัก เมื่อคุณปกป้องยุ้งฉางได้แล้วคุณก็ระเริงชนเต็มเหนี่ยว

“คุณรู้ไหมทำไมคนไม่ยอมลาออก? สมมุตินายสมชายเงินเดือนสูง วันหนึ่งสำนึกขึ้นมาเราทำอะไรอยู่ เราเป็นคนมีความคิดสร้างสรรค์ เราไม่ชอบเจ้านายกดขี่ เราจะตั้งตนเป็นใหญ่ คิดไปวางแผนไปฮึดสุดขีด แต่พอวันที่ 25 เงินเดือนออก เริ่มระเริงชนล่ะ เดี๋ยวไปกินเฮฮาที่โน่นที่นี่ ใช้เวลาเกือบ 10 วันสนุกสนาน พอวันที่ 10 เริ่มกลับมาคิดใหม่อีกแล้ว มันเลยกลายเป็นวงจรที่ไม่หลุดพ้นเพราะไม่กล้า ไม่วางแผน ถ้าคุณกล้าแบบบ้าบิ่นมันก็ไร้ทิศทาง ผมจะบาลานซ์แบบนี้

“เวลาจะทำอะไรคุณต้องมีสนามเด็กเล่น ถ้าไม่มีสนามเด็กเล่นมันไม่สนุก คนเรามักใฝ่หาความสุข ความสุขมันโคตรกระแดะ มันเป็นสิ่งที่มนุษย์ควรจะมีแต่มันไม่ได้ขับเคลื่อนผู้คน อะไรที่ทำให้คุณอยากตื่นเช้า? มันคือความสนุก

“ผมให้ความสำคัญกับความสนุก มันทำให้มนุษย์เดินไปข้างหน้า แล้วมีแรงขับ แต่ถ้าคุณไม่สนุก คุณจะไม่มีแรง ความสนุกมันเป็นเชื้อ”

Discovery ตัวเองเสมอ


ตลอดห้วงสนทนาจากบ่ายจนถึงค่ำกับชายวัยเลย 50 ที่ชื่อ ‘ตุ้ย’ และ ‘จอน’ เราไม่เห็นท่าทีเหนื่อยหน่ายของเขาในการพูดคุย คึกคักไปกว่านั้นอีกเมื่อลงไปเดินเล่นในแปลงปลูก เขารักผักเหมือนรักลูก ปลูกอย่างเข้าใจและเชื่อมโยง ทำเอาแค่พอไหว เพราะความสนุกมันกำลังดี พอเหมาะพอควร และคืนนี้ตุ้ยคงนั่งขบคิดเรื่องพืชพันธุ์เช่นเคย ส่วนเช้าตรู่จอนจะลงมือทำให้ วนๆ กันไปในทุกฤดูที่ ‘จอน นอนไร่’

“ถ้าเราตื่นอยู่เสมอ เราจะอยู่กับโลกความเป็นจริง โกรธได้ เกลียดได้ ด่าแม่งได้ แล้วรีบลืม อย่าไปจมดิ่งในวังน้ำวนเก่าๆ จะมีความสำเร็จหรือทุกข์ สลัดมันแล้วไปข้างหน้า เราเกิดมาเพื่อค้นหาและเดินทาง
“รองเท้ามันมีให้คุณใส่เดินทาง ไม่ใช่แค่กันเจ็บปวดตีน เมื่อคุณคิดไม่ออกคุณจงเดินทางแล้วจะเจอสิ่งใหม่ ถ้าคุณวนอยู่ในอ่างเดิมจะไม่เจอ เมื่อคุณออกไปเจอ ไปสัมผัส ไปใช้ชีวิต มิติคุณจะเกิดขึ้น ใช้วิธีที่คุณชำนาญ แล้วจะทำให้เปิดกบาลได้

“ตราบใดที่กบาลถูกสร้างมาให้เหนือกว่าสิ่งอื่นใดในโลก ฉะนั้นคุณจงใช้มันให้เป็นประโยชน์ ถ้ากบาลคุณกลวงคุณจะโวยวายกับโลกได้ไง คุณทำแบบเดิม แล้วจะเปลี่ยนแปลงได้ไง”

เรื่อง : วรชัย รัตนดวงตา
ภาพ : พานุวัฒน์ เงินพจน์

user's Blog!

49/1 ชั้น 4 อาคารบ้านเจ้าพระยา ถนนพระอาทิตย์ แขวงชนะสงคราม เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200

49/1 4th floor, Phra-A-Thit Road, Chanasongkhram,Phanakorn Bangkok 10200

Tel. 02 629 2211 #2256 #2226

Email : mars.magazine@gmail.com

FOLLOW US ON

SUBSCRIBE